ประเมินแนวโน้มธุรกิจด้วยROE

30 มิ.ย. 2560 | 23:52 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ค. 2560 | 06:52 น.
mp27-3274-C อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Return on Equity (ROE) เป็นหนึ่งในอัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมที่ใช้ประเมินทิศทางธุรกิจว่า “ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนลงทุนไปแล้วจะได้ผลตอบแทนกลับมาชดเชยกับเงินที่ลงทุนไปมากน้อยเพียงใด” โดยมีสูตรทางคณิตศาสตร์ คือ ROE = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น)x100 อธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน คือเงินลงทุน 100 บาทของเราที่ลงไป สร้างผลตอบแทนได้กี่บาท โดยทั่วไปหากเงินลงทุนของเรา 100 บาทสามารถสร้างกำไรยิ่งได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคุ้ม เพื่อให้เห็นประโยชน์ของ ROE ผู้เขียนขอหยิบข้อมูลงบการเงินบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาวิเคราะห์แนวโน้มการดำเนินธุรกิจภาพรวมของประเทศไทยที่ผ่านมาว่ามีทิศทางอย่างไร

จากข้อมูลบริษัท จดทะเบียนใน ตลท. จะพบว่าแนวโน้ม ROE จำนวน 457 บริษัท (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) พบว่าภาพรวม ROE ของบริษัท ใน ตลท. ในปี 2559 อยู่ที่ 11% ปรับตัวดีขึ้นมากกว่า 2 ปีที่ผ่านที่ภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 9% แม้ว่า ROE จะดีขึ้น แต่ก็ยังตํ่ากว่าช่วงปี 2552-2556 ที่อยู่ในระดับ 12-16% ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแนวโน้ม ROE เป็นรายกลุ่มธุรกิจจะพบว่า ธุรกิจที่แนวโน้ม ROE ดีขึ้น ได้แก่ สินค้าทรัพยากรธรรมชาติ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจที่มีแนวโน้ม ROE ทรงตัว ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สินค้าเกษตรและอาหาร ในขณะที่ธุรกิจที่แนวโน้ม ROE ชะลอตัว ได้แก่ สินค้าเทคโนโลยี

[caption id="attachment_170967" align="aligncenter" width="381"] ประเมินแนวโน้มธุรกิจด้วยROE ประเมินแนวโน้มธุรกิจด้วยROE[/caption]

นอกจากอัตราส่วน ROE จะชี้วัดถึงเงินลงทุนที่ลงไปได้ผลตอบแทนกลับมาเท่าไหร่ อัตราส่วน ROE ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์เจาะลึกขยายเพิ่มเติมได้ว่า อัตราผลตอบแทนที่เติบโตหรือลดลงมาจากปัจจัยอะไร ด้วยการวิเคราะห์ผ่าน DuPont Analysis ที่มีสูตรสำเร็จ ดังนี้ ROE = อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) x อัตราการหมุนของสินทรัพย์รวม (Total Asset turnover) x อัตราการก่อหนี้ (Financial Leverage) โดย “อัตรากำไรสุทธิ” จะเป็นตัวแทนของความสามารถในการทำรายได้หรือการลดค่าใช้จ่าย “อัตราการหมุนของสินทรัพย์รวม” จะเป็นตัวแทนของการบริหารสินทรัพย์มีประสิทธิภาพหรือไม่ และ “อัตราการก่อหนี้” เป็นตัวแทนของบริษัทก่อหนี้เพื่อสร้างรายได้มากน้อยเพียงใด เรามาเจาะลึกอะไรเป็นสาเหตุทำให้ ROE ของธุรกิจใน ตลท. “เติบโต ทรงตัว ชะลอตัว” ผ่านการวิเคราะห์อัตราส่วนทางเงินทั้ง 3 ตัวกันต่อครับ

อัตราส่วนตัวแรก “อัตรา ส่วนกำไรสุทธิ” จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มสินค้า ยกเว้นกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีเท่านั้นที่อัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัวทำให้ยอดขายลดลง เมื่อพิเคราะห์การเติบโตของ ROE ที่ดีขึ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลท. โดยภาพรวมนั้น ชี้ว่าภาพรวมของบริษัทในตลท. ต่างใช้ความพยายามในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายลง ทำให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น นับเป็นทิศทางที่ดีของการบริหารรายได้และต้นทุนของผู้ประกอบการ

อัตราส่วนตัวถัดไป “อัตราการหมุนของสินทรัพย์รวม” การตีความหมายของอัตราส่วนนี้ คือ บริษัท ใช้สินทรัพย์ของกิจการในการสร้างรายได้มากน้อยเพียงใด หากอัตราส่วนนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นข้อบ่งชี้ว่า กิจการมีการใช้สินทรัพย์สร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามหากอัตราส่วนนี้มีแนวโน้มตกตํ่าลงไป ก็บ่งชี้ว่ากิจการใช้สินทรัพย์อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้พบว่า อัตราการหมุนสินทรัพย์รวมของบริษัทใน ตลท. ส่วนใหญ่มีทิศทางชะลอตัวในเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นตัวฉุดรั้งทำให้ ROE ถดถอยลง (ตอนหน้าอัตราส่วนตัวสุดท้าย “อัตราการก่อหนี้”)
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ TMB Bank

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,274
วันที่ 29 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560