ปัญหา‘วัดพระธรรมกาย’ กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้!?!?
เมื่อเราแยก "คนดีกับคนชั่ว" กันไม่ออก ก็มิพักที่จะพูดถึงความจริง-หรือลวงที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองตอนนี้ โดยเฉพาะปัญหาวัดธรรมกายกับพระธัมมชโย เพราะทั้งวัดธรรมกายและพระธัมมชโยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นนานแล้ว หากแต่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย....ไม่เคยสนใจที่จะเข้าไปแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง
ซ้าร้ายกว่านั้น รัฐบาลบางชุดยังเข้าไปเป็นพวกกับ "ทั้งวัด-ทั้งคน" เสียอีก ส่งผลให้หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบปัญหาโดยตรง คือ กรมศาสนาหรือสำนักพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่กล้าเข้าไปจัดการและดำเนินการใดๆ กับปัญหาแบบ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ตรงข้ามกลับปล่อยให้วัดขยายอาณาจักรจนใหญ่โต
วัดธรรมกายไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล ความศรัทธาของชาวพุทธไม่ได้ศรัทธาหลงธัมมชโยอย่างเดียว แต่เขาศรัทธาพระพุทธเจ้าด้วยพระธรรมด้วย เรื่องดังกฃ่าวนี้ ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจหรือคิดว่าเขาศรัทธาธัมมชโยอย่างเดียวแล้วไปทำลายเขา ก็ต้องระวัง ค่อยๆ ปล่อยให้มันปรับตัวของมันเองดีกว่า
และเมื่อมาถึงปัจจุบัน เรื่องวัดธรรมกายนั้นก็แสวงหาข้อเท็จจริงมาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็อยู่ภายใต้ระบบกล่าวหา ถ้าเราไม่พอใจระบบกล่าวหา ก็ต่อสู้ให้ยกเลิกระบบกล่าวหาโดยให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงด้วยการไต่สวน และผมก็เห็นด้วยในการต่อสู้ยกเลิกระบบกล่าวหา
ว่ากันตามจริงปัญหาวัดธรรมกายกับพระธัมมชโย มีสาเหตุมาจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ไม่สนใจที่จะเข้ามาแก้ปัญหากันจริงๆ นับแต่กรมการศาสนา จนมาถึงสำนักพุทธศาสนาในปัจจุบัน มักมองเรื่องวัดธรรมกายในแง่ลบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองในแง่บวกด้วย....โดยต้องแก้ปัญหาวัดต่างๆ ให้เหมือนกันทั่วประเทศก่อน กล่าวคือ แก้ปัญหาวัดทั้งหมดให้ได้ก่อน จะไปเพ่งเล็งวัดธรรมกายวัดเดียวไม่ได้
แนวทางแก้ปัญหาวัดต่างๆ ต้องเข้าไปแก้เรื่อง "เงินวัด" ให้ได้เสียก่อน โดยเข้าไปจัดโครงสร้างวัดต่างๆ ให้ได้เสียก่อน นั่นคือ ไม่ให้พระเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินของวัดด้วยวิธีการ บริหาร-จัดการ ดังนี้
กำหนดให้วัดมีกรรมการ และกรรมการวัดก็จะต้องมีการประชุม มีการทำรายงานการประชุม
( คุณสมบัติคณะกรรมการวัด ต้องกำหนดเป็นกฎหมายที่ไม่เอาบุคคลที่มีประวัติไม่ดีเข้าไปเป็นกรรมการ และกรรมการวัดต้องรับฟังความคิดเห็นของคนเข้าวัดนั้นๆ ไปพิจารณาด้วย ทั้งความคิดเห็นของพระในวัดและความคิดเห็นของพระปกครองภายนอกด้วย ใช้ดุลยพินิจตัดสินเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ของกรรมการตามที่กฎหมายกำหนด)
เรื่องการควบคุมเงิน ให้วัดตั้งไวยาวัจกรจำนวนหนึ่ง (5-10 คน)
(ด้วยวิธีการคัดเลือกของคณะกรรมการวัด คือ เสนอแต่งตั้งไวยาวัจกร และมีอำนาจเสนอปลดไวยาวัจกรด้วยมติที่ประชุมกรรมการวัด....ไวยาวัจกรมีหน้าที่ฝาก-ถอนเงินวัด ตามมติคณะกรรมการวัดด้วยการลงชื่อทั้งฝากและถอนเงิน)
วัดต้องมีกระดาน หรือบอร์ด เพื่อรายงานโครงการต่างๆ ของวัด
(จัดทำรายงานบัญชีเงินฝากและถอนเงิน รวมทั้งรายงานยอดเงินบริจาคทุกๆ เดือน ไว้ในวัดและทำรายงานถึงสำนักพุทธศาสนา ส่วนเงินที่ผู้บริจาคให้พระใช้จ่ายนั้น ให้ไวยาวัจกรเปิดเป็นบัญชีค่าใช้จ่ายต่างๆ ของพระ เช่น ค่าพาหนะเดินทาง ค่ารักษาพยาบาลกรณีไปคลีนิค หรือโรงพยาบาลเอกชน ไวยาวัจกรต้องเป็นผู้ดูแลเงินให้พระ และต้องกำหนดวงเงินให้เหมาะสมด้วย)
เรื่องเดรัจฉานวิชชา
(เรื่องนี้ต้องกำหนดเป็นกฎหมาย เนื่องจากเป็นเเรื่องละเอียดอ่อน โดยคนทั่วไปยังเข้าใจว่า รดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชชา เดี๋ยวจะทำไม่ได้อีก เมื่อสมัยพุทธกาล พระบรมศาสดาใช้น้ำมนตร์ประพรมเมืองไพสาลี ก็มีการถกเถียงกัน เช่น ห้ามพระภิกษุไหว้เทพไหว้ฤาษีชีไพร หรือห้ามทำปลัดขิกเป็นต้น แต่ห้ามแล้วยังไง? ต้องนำมาอยู่ปริวาสกรรมหรือไม่? ต้องกำหนดในพระวินัยให้ชัดเจน)
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ หน่วยงาน "รัฐ" ที่รับผิดชอบต้องรีบดำเนินการไม่งั้น กว่าถั่วจะสุก-งาก็ไหม้ และปัญหาต่างๆ ก็จะสะสมจนแก้ไขอะไร?ไม่ได้ เพราะ "พระกับวัด" ก็จะยังมีการปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมา กล่าวคือ ไม่รู้ว่า พระกับพระมีกฎระเบียบที่เป็นกรอบในการปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรมวินัยกันอย่างไร? ถึงตอนนั้น ใครคือพระใคร?คือโจรก็จะเกิดเป็นคำถามขึ้นมาอีก และพวกเราชาวพุทธก็คงแยก "คนดีกับคนชั่ว" ได้ในที่สุด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,241 วันที่ 5 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2560