แนวทางยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะ

26 ม.ค. 2560 | 06:00 น.
หากให้ประเมินมูลค่าชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งคงลำบากมาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากถามว่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งมีค่ามากกว่าการได้รายได้ค่าโดยสารเพิ่มอีกหนึ่งเที่ยวหรือไม่ หรือมากกว่าเวลาในการเดินทางที่ลดลงจากเดิมอีก 1 ชั่วโมงหรือไม่? คำตอบคงชัดเจนว่าไม่ แล้วเหตุใดอุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายของชาติก็ว่าได้

ความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยทั่วไปมีปัจจัยจากผู้ขับขี่ (Driver) ยานพาหนะ (Vehicle) และ สภาวะแวดล้อม (Environment) ถ้า 3 องค์ประกอบนี้สมบูรณ์ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนจะดีขึ้นทันที ในด้านผู้ขับขี่ต้องมีความพร้อม มีทักษะในการขับขี่ มีความระมัดระวังไม่ประมาท ยานพาหนะต้องปลอดภัยมีสมรรถนะที่ดี สภาวะแวดล้อมทั้งถนน ป้ายสัญลักษณ์ ต้องไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการขับขี่ แล้วทำอย่างไรถึงจะมีทั้งสามองค์ประกอบได้ โดยเฉพาะในกรณีรถโดยสารสาธารณะ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีรถตู้ที่มีกรณีเหตุสะเทือนขวัญในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา

751020-696x462 ในระยะสั้นการยกระดับความปลอดภัยของรถตู้ หรือรถโดยสารประจำทางโดยทั่วไป ควรเน้นไปที่สองด้านคือ การป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุ (Prevention) และการลดความเสียหายหากมีเหตุเกิดขึ้น (Protection) โดยการลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุต้องเน้นในระดับผู้ขับขี่ ในด้านวินัยในการขับขี่ สภาพความพร้อมของผู้ขับขี่ ภาครัฐจะสามารถเพิ่มระดับความพร้อมในสองส่วนนี้โดยเข้มงวดกวดขัน และปรับใช้กฎหมายในกรณีที่ผู้ขับขี่ละเมิดกฎระเบียบต้องกำหนดเส้นทางและการเข้าสถานีให้ชัดเจนเพื่อให้มีการตรวจสอบได้ ส่วนด้านพฤติกรรมและชั่วโมงการขับต้องปรับจับผ่านข้อมูลที่ได้จากระบบ GPS และสื่อสารความจริงจังในการกำกับดูแลถึงผู้ประกอบการ และผู้ขับ

ปัจจัยด้านความพร้อมของตัวรถก็คงต้องดำเนินการเร่งตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถโดยสาร (มิใช่เฉพาะรถตู้) ด้านสภาวะแวดล้อมต้องประเมินจุดเสี่ยงเพื่อติดตั้งอุปกรณ์จราจรที่จำเป็นหรือปรับสภาพให้มีความปลอดภัยบนท้องถนน ในด้านการป้องกันการสูญเสียเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับตัวรถ และสภาพแวดล้อม

รถตู้ที่ใช้มีการดัดแปลงเป็นส่วนใหญ่อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ แต่หากจะให้มีการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใดคงลำบาก ในความเป็นจริงสำหรับผู้ประกอบการ อาจต้องสร้าง incentive ในการลงทุนเปลี่ยนยานพาหนะ และ ภาครัฐคงต้องหาแนวทางในการใช้ยานพาหนะเดิมในรูปแบบการให้บริการอื่นๆ เช่น พิจารณาเพิ่มเส้นทาง Feeder ภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ในระยะยาวจะเห็นว่าปัญหาความปลอดภัยในการเดินทางนั้นยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในเชิงการกำกับดูแลที่ชัดเจน เราจะมีคณะกรรมการที่เป็นองค์ประกอบแต่ไม่มีหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการด้านความปลอดภัยด้านคมนาคม

ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกามีหน่วยงาน National Transport Safety Board (NTSB) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำกว่า 400 คน ดำเนินการเรื่องการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยด้านคมนาคม ผ่านการวิจัยศึกษา และผ่านการตรวจสอบกรณีเกิดเหตุต่างๆ (Accident Investigation)

นอกจากนั้นยังมีหน้าที่โดยตรงในการดำเนินการนโยบายด้านความปลอดภัย และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือความเสียหายจากอุบัติเหตุ ในอีกมิติ NTSB ถือว่าเป็นผู้ตรวจการณ์การดำเนินงานของภาครัฐส่วนกลาง และท้องถิ่นต่างๆในด้านความปลอดภัย หากมีเหตุเกิดขึ้นจะมีการตรวจสอบโดยทันทีถึงสาเหตุและระบุถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ในส่วนของระบบขนส่งมวลชนนอกเหนือจากหน่วยงานที่รับผิดชอบตรงด้านความปลอดภัยแล้ว อีกนโยบายที่สำคัญคือการยกระดับผู้ประกอบการผ่านการกำกับดูแลโครงสร้างอุตสาหกรรม รถตู้ รถแท็กซี่ หรือ รถโดยสารประจำทางอื่นๆ ในปัจจุบันมีจำนวนไม่น้อยที่ผู้ประกอบการเป็นรายย่อย หรืออยู่ในรูปแบบการรวมกลุ่มหลวมๆ โครงสร้างดังกล่าวไม่ช่วยให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลผู้ประกอบการได้ อีกทั้งยังไม่ช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการยกระดับการให้บริการ หรือรักษาชื่อเสียงขององค์กรในด้านความปลอดภัย

หากผู้ประกอบการมีจำนวนรถที่ให้บริการเป็นกลุ่ม การที่จะให้รถเพียงคันเดียววิ่งทำเที่ยว หรือคนขับเพียงคนเดียวมีพฤติกรรมที่เสี่ยงคงไม่คุ้มค่ากับการถูกยกเลิกใบอนุญาต ซึ่งอาจมีผลกระทบกับกลุ่มรถทั้งหมด

ถือว่าเป็นห้วงเวลาที่ดีในการกระตุ้นการยกระดับด้านความปลอดภัยเนื่องจากปกติแล้วนโยบายด้านอุบัติเหตุในด้านคมนาคมจะไม่อยู่ในนโยบายหาเสียงภาครัฐเท่าไร จะเป็นประเด็นก็ต่อเมื่อมีกรณีสะเทือนขวัญทำให้ประชาชน และสื่อสนใจในวงกว้าง

ประเทศไทยคงต้องพยายามเรียนรู้จากบทเรียนในต่างประเทศที่สามารถก้าวข้ามปัญหาเรื่องความปลอดภัยในระบบคมนาคม โดยที่ในหลายๆกรณีจะสามารถพลิกเหตุสะเทือนขวัญ และถ่ายทอดออกเป็นบทเรียนและนโยบายที่มีผลในระยะยาว และยั่งยืนได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,230 วันที่ 26 - 28 มกราคม 2560