In Brief
สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว หายใจรดต้นคอ ภัยพิบัติเกิดขึ้นเป็นดาวกระจาย ทั้งปรากฎการณ์ rain bomb น้ำท่วมภูเก็ต ฝนถล่มประเทศบนคาบสมุทรอาหรับ-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ครั้งแรกในรอบ 75 ปี ส่งสัญญาณเตือนภัยมวลมนุษยชาติ...รวมถึงประเทศไทย
“ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น และอะไรที่ทำให้หมดความหวังกับรัฐบาล-ระบบราชการ
ผศ.ดร.ธรณ์ไขข้อข้องใจที่ว่าเราเดินมาถึงจุดที่ โลกรวน-โลกเดือดได้อย่างไร ว่า เราติดอยู่กับเศรษฐกิจการพัฒนาขนาดเศรษฐกิจให้ขยายตัวไปเรื่อย ๆ โดยใช้จีดีพีเป็นตัวชี้วัดมาอย่างยาวนาน
แม้กระทั่งประเทศไทยเองก็เริ่มนำทรัพยากรมาใช้จริง ๆ ในพ.ศ.2528 โดยมีโรงงานแยกก๊าซแห่งแรกเกิดขึ้นที่มาบตาพุด มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ปัญหาคือ โลกมาถึงจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อน แต่ตอนนั้นพูดให้รู้ไว้ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“พอเริ่มเฟสสอง รณรงค์ลดก๊าซเรือนกระจกที่โลกปล่อย แต่ปัญหาเราอยู่ในเศรษฐกิจแบบเดิม ใช้ทรัพยากรไม่คิดหน้าคิดหลัง มุ่งหวังผลกำไร การเจริญเติบโตเป็นหลัก จึงช่วยอะไรได้ไม่มาก ก๊าซเรือนกระจกก็ยังพีกอยู่ทุกปี”
เมื่อเข้าสู่เฟสสาม “ความตกลงปารีส” Paris agreement ก็ตกลงกันว่า จะคุมอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ.2100
ประเทศใหญ่ ๆ รู้ตัวแล้วว่า ไม่สามารถที่จะรณรงค์ หรือมีข้อตกลงลอย ๆ ได้ จึงเริ่มการออกแบบให้เกิด “เศรษฐกิจรูปแบบใหม่” หรือ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” ซึ่งมีแผนที่จะกีดกัน ภาษีคาร์บอน คาร์บอนเครดิต ซึ่งใช้เวลาทำเป็น 20 ปี เพื่อทำให้เกิดระบบขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ต้องการให้เศรษฐกิจยังไปในรูปแบบคล้าย ๆ เดิมได้ แต่ลดคาร์บอนลงอย่างมาก ๆ
“แน่นอนต้นทุนต้องเพิ่ม ผลกำไรจะน้อยลง ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดหลายอย่าง แต่เศรษฐกิจก็ยังเป็นแบบเดิม”
แต่อีกกลุ่มบอกว่า แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว และไม่มีแววเลยที่จะ Compromise จะมีฟอกเขียว เช่น ฝากความหวังไว้ในอนาคตว่า จะมีเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage : CCS)
สายนี้จะมีเทคโนโลยีต่าง ๆ ออกมาเยอะ ด้วยเหตุผลว่า ถ้าเกิดเรากลั่นน้ำมัน แต่กลายเป็นมีเครื่องเก็บ แต่มันก็ยังอยู่ในไลน์ธุรกิจ แต่จะมีอีกกลุ่มที่ออกมาแบบกรีนพีซ
การหักดิบฟอสซิลไปกรีน ปัญหาคือ กรีนไม่เสถียร ราคาแพง แม้แต่ไทย ถึงแม้ว่าจะทำในนิคมอุตสาหกรรมก็ยังทำเขียว 100 % ไม่ได้ ด้วยเหตุผลราคาต้นทุนพุ่ง
ปะทะกันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะทำให้ 2 ขั้วมา Overlap ได้ ยากมาก
“ผมรู้จักซีอีโอในบริษัทพลังงานแทบทุกคน หลายคนรักษ์โลกมากเลย (ลากเสียง) เขียวปี๋ เขียวกว่าผมอีก วัน ๆ ไม่ทำอะไร ปลูกต้นไม้อย่างเดียว แต่มาถึงงานบริษัท บอกจะหักดิบแล้วบริษัทจะไปต่ออย่างไร หน้าที่ของเขาก็ต้องหาทาง Compromise ให้ได้มากที่สุด กลุ่มคนที่อยู่บริษัทก็สงสารชาวบ้าน แต่เขามีผู้ถือหุ้น”
“ผศ.ดร.ธรณ์” ยังไม่เห็นพื้นที่ตรงกลางของการปะทะของทั้งสองขั้ว จะ compromise ได้อย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งบอกให้หยุด อีกคนหนึ่งมีบริษัท มีธุรกิจที่ต้องไปต่อ รากฐานธุรกิจมาด้านนี้ แต่ก็ช่วยได้นิดเดียว เพราะเขาเป็นธุรกิจ
ตรงกลาง คือ คนที่อยู่ตรง compromise ต้องมาช่วยคนที่เดือดร้อนจากผลกระทบของโลกร้อนให้มากขึ้น รักษาธรรมชาติให้มากขึ้น สายธุรกิจก็พยามช่วยสายอนุรักษ์ธรรมชาติให้มากขึ้น
“ในต่างประเทศจะมี Climate Change study จำนวนมาก ใส่ไปในภาคธุรกิจ เอาสิ่งแวดล้อมใส่เข้าไปในไฟแนนซ์ ในบริหารธุรกิจ สามอย่างรวมกัน สายงานรูปแบบใหม่ ธุรกิจที่กรีนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เอาแผนก CSR ย้ายมาทำแผนก SD”
ขณะนี้ภาคธุรกิจเริ่มเปลี่ยนมายด์เซตแล้ว มีอบรม ESG เพิ่มขึ้น ผู้บริหารในองค์กรเริ่มเห็นปัญหา แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะเราเกิดมาภายใต้เศรษฐกิจเดิม ๆ เศรษฐกิจทุนนิยม กำไร จีดีพี เราติดอยู่กับตัวนี้หมด อยู่ ๆ จะให้กระโดดมาฝั่งสีเขียวด้วย ซีอีโอบางคนยังบอกว่า ทำไมต้องจ่ายตังค์ให้แผนก SD เพราะไม่เข้าใจว่าเศรษฐกิจเดิมล้มสลายเรียบร้อยแล้ว
เศรษฐกิจเดิมย้ายมาเศรษฐกิจแบบใหม่เรียบร้อยแล้ว คือ “คาร์บอนต่ำ” ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง ขณะเดียวกันผลกระทบก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดและส่งผลกระทบให้คนบางกลุ่มอย่างรุนแรง ผลกระทบเกิดขึ้นทุกคน
“เราได้รับผลกระทบอย่างมากก็ถูกจมน้ำ คนบางกลุ่มไม่มีปลาเหลือ โดยเฉพาะคนที่อิงธรรมชาติ เพราะโลกร้อนทำให้ธรรมชาติแปรปรวน คนที่ซวยที่สุด คือ คนที่พอเพียงที่สุด และอิงธรรมชาติมากที่สุด เช่น ชาวประมงพื้นบ้าน”
SD (Sustainable Development) คือ กลยุทธ์องค์กร และการบริหารความเสี่ยง องค์กรต้องวางกลยุทธ์ว่าจะเพิ่มสีเขียวแค่ไหน จะจัมป์อินกับธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีแววว่าจะทำได้ในระดับประเทศหรือภูมิภาคตอนไหน อย่างไร จะ Joint Venture กับใคร
บริหารความเสี่ยงต้องเช็กบริษัทเราด้วยว่ามีความเสี่ยงเรื่องอะไร “Net Zero” ประกาศหรือยัง เป็นไปปตามโรดแมปหรือไม่ โรงงานจะโดนน้ำท่วมไหม เตรียมรับมือลานินญ่าได้แค่ไหน น้ำเพียงพอหรือไม่
ปัญหาอีกอัน คือ พวกซัพพลายเชน บริษัทใหญ่ ๆ มีฝ่ายกลยุทธ์องค์กร ฝ่ายวิเคราะห์เทรนด์โลก แต่ซัพพลายเชนบริษัทย่อย ๆ หรือ SMEs ยังไม่รู้ อีกหน่อยอาจจะโดนกันออกจากห่วงโซ่ได้ง่าย ๆ เพราะเขียวไม่พอ
“รักษ์โลกยุคนี้ คือ การแข่งขันทางธุรกิจ”
“ผศ.ดร.ธรณ์” ตอบยากว่า ถึงจุดวิกฤตหรือยัง-โคม่าแล้วหรือไม่ “วิกฤตคืออะไร โลกร้อนไม่มีวิกฤต จุดวิกฤตคืออะไร เหมือนกับเราป่วย จุดวิกฤตของป่วยคืออะไร บอกยากมาก แต่ละที่ไม่เท่ากัน”
ส่วนจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักร่วมกันว่า ตอนนี้ถึงจุดวิกฤตแล้ว-ทุกภาคส่วนจะต้องตั้งรับหรือปรับตัวอย่างไร “ผศ.ธรณ์” ตอบ 3 ครั้ง ด้วยหมายคำเดียว “ตัวใครตัวมัน”
ผู้คนตระหนักไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง ใครก็ตรัสรู้อยู่แล้วว่า ขยะทะเลทำให้เต่าตาย ขยะทะเลก็จะเพิ่มขึ้นทุกปี คิดว่าคนตระหนักแล้วโลกจะหายร้อนเหรอ เมื่อแพลนบี (รณรงค์) ไม่สำเร็จ ก็ต้องแพลนซี บังคับ
“รัฐบาลยังติดกับเศรษฐกิจแบบเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนมายด์เซตได้ เมื่อจีดีพีต่ำก็ต้องชวนคนมาลงทุน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ไม่มีคนมาลงทุน เพราะไฟฟ้าเป็นฟอสซิลเกิน 50 % ถ้าเกิดมาลงทุน ผลิตภัณฑ์ก็จะมีคาร์บอนอยู่เพียบ ส่งออกก็จะชนกำแพงภาษี เข้าไม่ได้”
ไม่เชื่อว่า คนในรัฐบาลจะมาเป็นที่พึ่งได้ จึงกลับมาที่คำว่า “ตัวใครตัวมัน” และภาคธุรกิจชิ่งออกมาเรียบร้อยแล้ว คือ “ตัวใครตัวมัน”
ภาครัฐสามารถออกกฎระเบียบ แต่ภาคธุรกิจจะไปรอกฎระเบียบให้มาได้ประโยชน์ตัวเองไม่ได้ ต้องพุ่งเข้าไปหา เช่น สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ กองทุน ESG รัฐบาลก็เปิดช่อง แต่จะมาให้รัฐบาลลากบริษัททุกบริษัทเข้าช่องคงไม่ได้ ใครไวก็ได้เปรียบ
คนที่เดือดร้อนคือบริษัทเพราะถ้าน้อยกว่ามาตรฐานโลก จะส่งออกอย่างไร ขีดความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจพินาศ การผลิตก็พินาศ เขาไม่ยอมรับสินค้าคุณ ตีกลับ ถ้ารับต้องจ่ายภาษีเพิ่ม เพราะเขาไม่รับมาตรฐานคาร์บอนเครดิตของคุณ
“ตอนนี้เมื่อเข้ามาในรูปแบบเศรษฐกิจ นักสิ่งแวดล้อมยืนดูเฉย ๆ แล้วก็ยิ้ม เพราะว่า ถ้ามากไม่พอ คนเดือดร้อนก็คือบริษัท”
ผศ.ดร.ธรณ์-นักสิ่งแวดล้อมสายเขียว ที่มีบทสนทนาเรื่องกรีน ๆ กับบิ๊กธุรกิจ-ซีอีโอบริษัทยักษ์ระดับท็อปในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนหัวเรือใหญ่ “บริษัทกงสี” สัมผัสได้ว่า บริษัทใหญ่ ๆ พยายามปรับตัว แต่ยังติดอยู่ที่มายด์เซต
“ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอยู่บริษัทมหาชน ตอนนี้ฝ่าย SD เป็นรองซีอีโอ ขณะที่ SD บริษัทเกือบทั้งหมดยังเป็นแค่ระดับผู้อำนวยการอยู่เลย ต่อให้เห็นด้วยก็ไปไม่ได้ เปรียบเทียให้เป็นว่าอำนาจมันต่างกัน”
ถ้าเป็น “บริษัทกงสี” คุยง่าย ไม่ได้อยู่ในตลาด คุยนิดเดียวก็จบแล้ว แต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้อยู่ที่ซีอีโอ มีบอร์ด มีประชุมผู้ถือหุ้น ระบบที่เราสร้างมาตรึงไว้หมด
ต่อให้ซีอีโอเข้าใจ เขาเป็นห่วง แต่ทำอะไรที่หลุดออกจากระบบที่ตรึงไว้ตลอดไม่ได้ ระบบที่ออกแบบมาให้ได้ผลกำไรมากที่สุด ระบบที่ออกแบบมาให้ได้รับปันผลมากที่สุดในวันนี้
ขณะที่ถ้าเกิดคุณกรีนขึ้น อีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทคุณจะมี s-curve ใหม่ คุณก็ไม่กล้าไป ด้วยเหตุผลว่า ถ้าคุณไปวันนี้ เงินปันผลก็จะลดลง ผู้ถือหุ้นก็จะด่าคุณ
“ก็กลับมาที่ตัวใครตัวมัน บริษัทไหนที่แก้ระบบได้ก่อนคนนั้นก็ชนะ คนนั้นก็ไปได้เร็วกว่า”
ผศ.ดร.ธรณ์มีความเชื่อส่วนตัว ว่า “ระบบประเทศนี้เปลี่ยนไม่ได้” แต่เขาต้องการแค่หาทางออกมานอกระบบ ก้าวนำหน้าระบบ ทำให้องค์กรก้าวนำหน้า ชี้นำคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหนังสือ-โพสต์โซเชียล เพื่อให้องค์กรของตัวเองให้ก้าวออกมา
ปัญหาของเราตอนนี้ คือ ใครจะแหกระบบ หรือหาทางรอดออกมาจากระบบได้แค่ไหน ซึ่งก็เหมือนกัน คือ ตัวใครตัวมัน ใครทำได้ก็รอด
“การเปลี่ยนระบบ เป็นเรื่องที่ยากมหาศาล แต่ก็จะมีคนอย่างนี้โผล่ขึ้นมาตามจุดต่าง ๆ และก็จะชี้นำองค์กรให้ก้าวไปเร็วกว่าชาวบ้าน ซึ่งประเทศไทยง่ายมาก เพราะประเทศไทยอยู่กับที่ ไม่ค่อยก้าว คนไหนก้าวก็จะโดดเด่นออกมาอย่างรวดเร็ว องค์กรนั้นก็จะเป็นองค์กรที่พร้อม มีความยืดหยุ่น มีความสามารถในการพุ่งไปกับเศรษฐกิจใหม่ๆ”
“ใครก้าวออกมาก่อนคนนั้นก็ชนะ องค์กรก็จะชนะ ยิ่งก้าวออกมาเยอะ ๆ ความเขียวมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลับมาช่วยธรรมชาติ ช่วยทะเลของผมเอง”
“ผมเลิกฝากความหวังของการช่วยธรรมชาติ ช่วยทะเล ช่วยปะการัง กับภาครัฐไปนานแล้ว ผมหมดหวังไปนานแล้ว ผมรู้สึกว่า มันมีกฎ กติกา ระเบียบ ยิ่งขอยิ่งปวดกะโหลกหนักขึ้นไปเรื่อย”
“ผมไปช่วยกระตุ้นคนที่อยากเปลี่ยนให้ก้าวออกมา แล้วเชียร์เขาว่าลงมาทำแล้วได้ผลนะ ผมไม่สนใจระบบอยู่ ผมอยู่ในสภามาก่อน ผมอยู่ยุทธศาสตร์ชาติ ปฏิรูปประเทศมาหมดแล้ว ผมมั่นใจว่า ด้วยวิธีการแบบนั้นไม่สามารถทำอะไรให้ปะการังรอดตาย”
บุตรชายอดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เติบโตมากับครอบครัวราชการ-อยู่กับระบบราชการมาตลอดชีวิต “ผศ.ธรณ์” จึงไม่ได้ฝากความหวังไว้กับระบบราชการมากนัก และฝากความหวังไว้กับตัวเองมากที่สุด
“แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ระบบราชการในอดีตยังแข็งแกร่ง ยังพอไปไหว ยังฝากความหวังไว้ได้ แต่ถึงแม้ตอนนี้ผมหมดความหวังกับระบบ แต่ผมไม่หมดหวังกับชีวิต”
ไม่ได้เรียกหมดความหวัง เรียกว่าเลิกหวัง เพราะมีความหวังอย่างอื่น ยังมีคนกลุ่มที่ไม่หมดความหวังกับเขา และสิ่งที่ทำจะทำให้คนกลุ่มนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“วันนี้ไม่จำเป็นต้องมานั่งสอนแล้วว่าโลกร้อนคืออะไร มันเห็นแล้ว สิ่งที่เราควรจะสอนคือ เราจะปรับตัวอย่างไร รับจะรับมืออย่างไร คือ หัวใจ”
“แต่ที่อยากให้ทำมากที่สุด คือ กงสี ง่ายสุด เพราะไม่ได้อยู่ในระบบ กงสีไม่เหมือนซีอีโอบริษัทมหาชนมีวันหมดอายุ มีเกษียณ แต่ กงสี ไม่มีเกษียณ ยังไงก็ต้ององค์กร เพื่อลูกเพื่อหลาน”
“ผศ.ดร.ธรณ์” ปิดบทสัมภาษณ์พิเศษเพื่อไปตามนัดในเวลาบ่ายสองกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานระดับรองซีอีโอ ว่า “สิ่งที่เราคุยมาทั้งหมด คือ การทำให้ธุรกิจเรารอด ไม่ได้ช่วยโลก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง