net-zero

"ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" จั๊มพ์สาย “บริษัทกงสีหมื่นล้าน” หนีตาย "โลกร้อน"

In Brief

  • “ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” นักวิชาการสิ่งแวดล้อม เลิกหวังกับรัฐบาล-ระบบราชการในการแก้ปัญหา Climate Change 
  • ดึง “บริษัทกงสีหมื่นล้าน” – ซีอีโอธุรกิจพลังงานในตลาดหลักทรัพย์ฯ แหกระบบ - หนีตาย โลกร้อน 
  • แนะ ปรับกลยุทธ์-บริหารความเสี่ยง “รักษ์โลกยุคนี้ คือ การแข่งขันทางธุรกิจ” 
  • เตือน ซัพพลายเชนย่อย - SMEs โดนกีดกันออกห่วงโซ่การผลิต เพราะ “เขียวไม่พอ”  

สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว หายใจรดต้นคอ ภัยพิบัติเกิดขึ้นเป็นดาวกระจาย ทั้งปรากฎการณ์ rain bomb น้ำท่วมภูเก็ต ฝนถล่มประเทศบนคาบสมุทรอาหรับ-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ครั้งแรกในรอบ 75 ปี ส่งสัญญาณเตือนภัยมวลมนุษยชาติ...รวมถึงประเทศไทย     

“ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น และอะไรที่ทำให้หมดความหวังกับรัฐบาล-ระบบราชการ  

ผศ.ดร.ธรณ์ไขข้อข้องใจที่ว่าเราเดินมาถึงจุดที่ โลกรวน-โลกเดือดได้อย่างไร ว่า เราติดอยู่กับเศรษฐกิจการพัฒนาขนาดเศรษฐกิจให้ขยายตัวไปเรื่อย ๆ โดยใช้จีดีพีเป็นตัวชี้วัดมาอย่างยาวนาน

แม้กระทั่งประเทศไทยเองก็เริ่มนำทรัพยากรมาใช้จริง ๆ ในพ.ศ.2528 โดยมีโรงงานแยกก๊าซแห่งแรกเกิดขึ้นที่มาบตาพุด มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ปัญหาคือ โลกมาถึงจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อน แต่ตอนนั้นพูดให้รู้ไว้ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย 

"ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" จั๊มพ์สาย “บริษัทกงสีหมื่นล้าน” หนีตาย "โลกร้อน"

“พอเริ่มเฟสสอง รณรงค์ลดก๊าซเรือนกระจกที่โลกปล่อย แต่ปัญหาเราอยู่ในเศรษฐกิจแบบเดิม ใช้ทรัพยากรไม่คิดหน้าคิดหลัง มุ่งหวังผลกำไร การเจริญเติบโตเป็นหลัก จึงช่วยอะไรได้ไม่มาก ก๊าซเรือนกระจกก็ยังพีกอยู่ทุกปี” 

เมื่อเข้าสู่เฟสสาม “ความตกลงปารีส” Paris agreement ก็ตกลงกันว่า จะคุมอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ.2100 

ประเทศใหญ่ ๆ รู้ตัวแล้วว่า ไม่สามารถที่จะรณรงค์ หรือมีข้อตกลงลอย ๆ ได้ จึงเริ่มการออกแบบให้เกิด “เศรษฐกิจรูปแบบใหม่” หรือ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” ซึ่งมีแผนที่จะกีดกัน ภาษีคาร์บอน คาร์บอนเครดิต ซึ่งใช้เวลาทำเป็น 20 ปี เพื่อทำให้เกิดระบบขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ต้องการให้เศรษฐกิจยังไปในรูปแบบคล้าย ๆ เดิมได้ แต่ลดคาร์บอนลงอย่างมาก ๆ 

“แน่นอนต้นทุนต้องเพิ่ม ผลกำไรจะน้อยลง ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดหลายอย่าง แต่เศรษฐกิจก็ยังเป็นแบบเดิม”

กรีนพีซ ปะทะ ฟอกเขียว  

แต่อีกกลุ่มบอกว่า แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว และไม่มีแววเลยที่จะ Compromise จะมีฟอกเขียว เช่น ฝากความหวังไว้ในอนาคตว่า จะมีเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage : CCS)

สายนี้จะมีเทคโนโลยีต่าง  ๆ ออกมาเยอะ ด้วยเหตุผลว่า ถ้าเกิดเรากลั่นน้ำมัน แต่กลายเป็นมีเครื่องเก็บ แต่มันก็ยังอยู่ในไลน์ธุรกิจ แต่จะมีอีกกลุ่มที่ออกมาแบบกรีนพีซ      

การหักดิบฟอสซิลไปกรีน ปัญหาคือ กรีนไม่เสถียร ราคาแพง แม้แต่ไทย ถึงแม้ว่าจะทำในนิคมอุตสาหกรรมก็ยังทำเขียว 100 % ไม่ได้ ด้วยเหตุผลราคาต้นทุนพุ่ง 

ปะทะกันอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะทำให้ 2 ขั้วมา Overlap ได้ ยากมาก 

“ผมรู้จักซีอีโอในบริษัทพลังงานแทบทุกคน หลายคนรักษ์โลกมากเลย (ลากเสียง) เขียวปี๋ เขียวกว่าผมอีก วัน ๆ ไม่ทำอะไร ปลูกต้นไม้อย่างเดียว แต่มาถึงงานบริษัท บอกจะหักดิบแล้วบริษัทจะไปต่ออย่างไร หน้าที่ของเขาก็ต้องหาทาง Compromise ให้ได้มากที่สุด กลุ่มคนที่อยู่บริษัทก็สงสารชาวบ้าน แต่เขามีผู้ถือหุ้น” 

เศรษฐกิจเดิมล่มสลาย 

“ผศ.ดร.ธรณ์” ยังไม่เห็นพื้นที่ตรงกลางของการปะทะของทั้งสองขั้ว จะ compromise ได้อย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งบอกให้หยุด อีกคนหนึ่งมีบริษัท มีธุรกิจที่ต้องไปต่อ รากฐานธุรกิจมาด้านนี้ แต่ก็ช่วยได้นิดเดียว เพราะเขาเป็นธุรกิจ

ตรงกลาง คือ คนที่อยู่ตรง compromise ต้องมาช่วยคนที่เดือดร้อนจากผลกระทบของโลกร้อนให้มากขึ้น รักษาธรรมชาติให้มากขึ้น สายธุรกิจก็พยามช่วยสายอนุรักษ์ธรรมชาติให้มากขึ้น  

“ในต่างประเทศจะมี Climate Change study จำนวนมาก ใส่ไปในภาคธุรกิจ เอาสิ่งแวดล้อมใส่เข้าไปในไฟแนนซ์ ในบริหารธุรกิจ สามอย่างรวมกัน สายงานรูปแบบใหม่ ธุรกิจที่กรีนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เอาแผนก CSR ย้ายมาทำแผนก SD”

ขณะนี้ภาคธุรกิจเริ่มเปลี่ยนมายด์เซตแล้ว มีอบรม ESG เพิ่มขึ้น ผู้บริหารในองค์กรเริ่มเห็นปัญหา แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะเราเกิดมาภายใต้เศรษฐกิจเดิม ๆ เศรษฐกิจทุนนิยม กำไร จีดีพี เราติดอยู่กับตัวนี้หมด อยู่ ๆ จะให้กระโดดมาฝั่งสีเขียวด้วย ซีอีโอบางคนยังบอกว่า ทำไมต้องจ่ายตังค์ให้แผนก SD เพราะไม่เข้าใจว่าเศรษฐกิจเดิมล้มสลายเรียบร้อยแล้ว

เศรษฐกิจเดิมย้ายมาเศรษฐกิจแบบใหม่เรียบร้อยแล้ว คือ “คาร์บอนต่ำ” ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง ขณะเดียวกันผลกระทบก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดและส่งผลกระทบให้คนบางกลุ่มอย่างรุนแรง ผลกระทบเกิดขึ้นทุกคน

“เราได้รับผลกระทบอย่างมากก็ถูกจมน้ำ คนบางกลุ่มไม่มีปลาเหลือ โดยเฉพาะคนที่อิงธรรมชาติ เพราะโลกร้อนทำให้ธรรมชาติแปรปรวน คนที่ซวยที่สุด คือ คนที่พอเพียงที่สุด และอิงธรรมชาติมากที่สุด เช่น ชาวประมงพื้นบ้าน”

รักษ์โลกยุคนี้ คือ การแข่งขันทางธุรกิจ 

SD (Sustainable Development) คือ กลยุทธ์องค์กร และการบริหารความเสี่ยง องค์กรต้องวางกลยุทธ์ว่าจะเพิ่มสีเขียวแค่ไหน จะจัมป์อินกับธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีแววว่าจะทำได้ในระดับประเทศหรือภูมิภาคตอนไหน อย่างไร จะ Joint Venture กับใคร 

บริหารความเสี่ยงต้องเช็กบริษัทเราด้วยว่ามีความเสี่ยงเรื่องอะไร “Net Zero” ประกาศหรือยัง เป็นไปปตามโรดแมปหรือไม่ โรงงานจะโดนน้ำท่วมไหม เตรียมรับมือลานินญ่าได้แค่ไหน น้ำเพียงพอหรือไม่ 

ปัญหาอีกอัน คือ พวกซัพพลายเชน บริษัทใหญ่ ๆ มีฝ่ายกลยุทธ์องค์กร ฝ่ายวิเคราะห์เทรนด์โลก แต่ซัพพลายเชนบริษัทย่อย ๆ หรือ SMEs ยังไม่รู้ อีกหน่อยอาจจะโดนกันออกจากห่วงโซ่ได้ง่าย ๆ เพราะเขียวไม่พอ

“รักษ์โลกยุคนี้ คือ การแข่งขันทางธุรกิจ”

ตัวใครตัวมัน 

“ผศ.ดร.ธรณ์” ตอบยากว่า ถึงจุดวิกฤตหรือยัง-โคม่าแล้วหรือไม่ “วิกฤตคืออะไร โลกร้อนไม่มีวิกฤต จุดวิกฤตคืออะไร เหมือนกับเราป่วย จุดวิกฤตของป่วยคืออะไร บอกยากมาก แต่ละที่ไม่เท่ากัน” 

ส่วนจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักร่วมกันว่า ตอนนี้ถึงจุดวิกฤตแล้ว-ทุกภาคส่วนจะต้องตั้งรับหรือปรับตัวอย่างไร “ผศ.ธรณ์” ตอบ 3 ครั้ง ด้วยหมายคำเดียว “ตัวใครตัวมัน” 

ผู้คนตระหนักไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง ใครก็ตรัสรู้อยู่แล้วว่า ขยะทะเลทำให้เต่าตาย ขยะทะเลก็จะเพิ่มขึ้นทุกปี คิดว่าคนตระหนักแล้วโลกจะหายร้อนเหรอ เมื่อแพลนบี (รณรงค์) ไม่สำเร็จ ก็ต้องแพลนซี บังคับ

“รัฐบาลยังติดกับเศรษฐกิจแบบเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนมายด์เซตได้ เมื่อจีดีพีต่ำก็ต้องชวนคนมาลงทุน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ไม่มีคนมาลงทุน เพราะไฟฟ้าเป็นฟอสซิลเกิน 50 % ถ้าเกิดมาลงทุน ผลิตภัณฑ์ก็จะมีคาร์บอนอยู่เพียบ ส่งออกก็จะชนกำแพงภาษี เข้าไม่ได้”

ไม่เชื่อว่า คนในรัฐบาลจะมาเป็นที่พึ่งได้ จึงกลับมาที่คำว่า “ตัวใครตัวมัน” และภาคธุรกิจชิ่งออกมาเรียบร้อยแล้ว คือ “ตัวใครตัวมัน” 

ภาครัฐสามารถออกกฎระเบียบ แต่ภาคธุรกิจจะไปรอกฎระเบียบให้มาได้ประโยชน์ตัวเองไม่ได้ ต้องพุ่งเข้าไปหา เช่น สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ กองทุน ESG รัฐบาลก็เปิดช่อง แต่จะมาให้รัฐบาลลากบริษัททุกบริษัทเข้าช่องคงไม่ได้ ใครไวก็ได้เปรียบ

คนที่เดือดร้อนคือบริษัทเพราะถ้าน้อยกว่ามาตรฐานโลก จะส่งออกอย่างไร ขีดความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจพินาศ การผลิตก็พินาศ เขาไม่ยอมรับสินค้าคุณ ตีกลับ ถ้ารับต้องจ่ายภาษีเพิ่ม เพราะเขาไม่รับมาตรฐานคาร์บอนเครดิตของคุณ 

“ตอนนี้เมื่อเข้ามาในรูปแบบเศรษฐกิจ นักสิ่งแวดล้อมยืนดูเฉย ๆ แล้วก็ยิ้ม เพราะว่า ถ้ามากไม่พอ คนเดือดร้อนก็คือบริษัท”

ทางรอดบริษัทยักษ์-บริษัทกงสี

ผศ.ดร.ธรณ์-นักสิ่งแวดล้อมสายเขียว ที่มีบทสนทนาเรื่องกรีน ๆ กับบิ๊กธุรกิจ-ซีอีโอบริษัทยักษ์ระดับท็อปในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนหัวเรือใหญ่ “บริษัทกงสี” สัมผัสได้ว่า บริษัทใหญ่ ๆ พยายามปรับตัว แต่ยังติดอยู่ที่มายด์เซต 

“ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอยู่บริษัทมหาชน ตอนนี้ฝ่าย SD เป็นรองซีอีโอ ขณะที่ SD บริษัทเกือบทั้งหมดยังเป็นแค่ระดับผู้อำนวยการอยู่เลย ต่อให้เห็นด้วยก็ไปไม่ได้ เปรียบเทียให้เป็นว่าอำนาจมันต่างกัน”   

ถ้าเป็น “บริษัทกงสี” คุยง่าย ไม่ได้อยู่ในตลาด คุยนิดเดียวก็จบแล้ว แต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้อยู่ที่ซีอีโอ มีบอร์ด มีประชุมผู้ถือหุ้น ระบบที่เราสร้างมาตรึงไว้หมด 

ต่อให้ซีอีโอเข้าใจ เขาเป็นห่วง แต่ทำอะไรที่หลุดออกจากระบบที่ตรึงไว้ตลอดไม่ได้ ระบบที่ออกแบบมาให้ได้ผลกำไรมากที่สุด ระบบที่ออกแบบมาให้ได้รับปันผลมากที่สุดในวันนี้ 

ขณะที่ถ้าเกิดคุณกรีนขึ้น อีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทคุณจะมี s-curve ใหม่ คุณก็ไม่กล้าไป ด้วยเหตุผลว่า ถ้าคุณไปวันนี้ เงินปันผลก็จะลดลง ผู้ถือหุ้นก็จะด่าคุณ

“ก็กลับมาที่ตัวใครตัวมัน บริษัทไหนที่แก้ระบบได้ก่อนคนนั้นก็ชนะ คนนั้นก็ไปได้เร็วกว่า”

หมดความหวังกับรัฐบาล-ระบบราชการ 

ผศ.ดร.ธรณ์มีความเชื่อส่วนตัว ว่า “ระบบประเทศนี้เปลี่ยนไม่ได้” แต่เขาต้องการแค่หาทางออกมานอกระบบ ก้าวนำหน้าระบบ ทำให้องค์กรก้าวนำหน้า ชี้นำคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหนังสือ-โพสต์โซเชียล เพื่อให้องค์กรของตัวเองให้ก้าวออกมา

ปัญหาของเราตอนนี้ คือ ใครจะแหกระบบ หรือหาทางรอดออกมาจากระบบได้แค่ไหน ซึ่งก็เหมือนกัน คือ ตัวใครตัวมัน ใครทำได้ก็รอด 

“การเปลี่ยนระบบ เป็นเรื่องที่ยากมหาศาล แต่ก็จะมีคนอย่างนี้โผล่ขึ้นมาตามจุดต่าง ๆ และก็จะชี้นำองค์กรให้ก้าวไปเร็วกว่าชาวบ้าน ซึ่งประเทศไทยง่ายมาก เพราะประเทศไทยอยู่กับที่ ไม่ค่อยก้าว คนไหนก้าวก็จะโดดเด่นออกมาอย่างรวดเร็ว องค์กรนั้นก็จะเป็นองค์กรที่พร้อม มีความยืดหยุ่น มีความสามารถในการพุ่งไปกับเศรษฐกิจใหม่ๆ”

“ใครก้าวออกมาก่อนคนนั้นก็ชนะ องค์กรก็จะชนะ ยิ่งก้าวออกมาเยอะ ๆ ความเขียวมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลับมาช่วยธรรมชาติ ช่วยทะเลของผมเอง”

“ผมเลิกฝากความหวังของการช่วยธรรมชาติ ช่วยทะเล ช่วยปะการัง กับภาครัฐไปนานแล้ว ผมหมดหวังไปนานแล้ว ผมรู้สึกว่า มันมีกฎ กติกา ระเบียบ ยิ่งขอยิ่งปวดกะโหลกหนักขึ้นไปเรื่อย”

“ผมไปช่วยกระตุ้นคนที่อยากเปลี่ยนให้ก้าวออกมา แล้วเชียร์เขาว่าลงมาทำแล้วได้ผลนะ ผมไม่สนใจระบบอยู่ ผมอยู่ในสภามาก่อน ผมอยู่ยุทธศาสตร์ชาติ ปฏิรูปประเทศมาหมดแล้ว ผมมั่นใจว่า ด้วยวิธีการแบบนั้นไม่สามารถทำอะไรให้ปะการังรอดตาย”

ฝากความหวังกับตัวเองมากที่สุด

บุตรชายอดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เติบโตมากับครอบครัวราชการ-อยู่กับระบบราชการมาตลอดชีวิต “ผศ.ธรณ์” จึงไม่ได้ฝากความหวังไว้กับระบบราชการมากนัก และฝากความหวังไว้กับตัวเองมากที่สุด

"ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" จั๊มพ์สาย “บริษัทกงสีหมื่นล้าน” หนีตาย "โลกร้อน"

“แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ระบบราชการในอดีตยังแข็งแกร่ง ยังพอไปไหว ยังฝากความหวังไว้ได้ แต่ถึงแม้ตอนนี้ผมหมดความหวังกับระบบ แต่ผมไม่หมดหวังกับชีวิต”

ไม่ได้เรียกหมดความหวัง เรียกว่าเลิกหวัง เพราะมีความหวังอย่างอื่น ยังมีคนกลุ่มที่ไม่หมดความหวังกับเขา และสิ่งที่ทำจะทำให้คนกลุ่มนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

“วันนี้ไม่จำเป็นต้องมานั่งสอนแล้วว่าโลกร้อนคืออะไร มันเห็นแล้ว สิ่งที่เราควรจะสอนคือ เราจะปรับตัวอย่างไร รับจะรับมืออย่างไร คือ หัวใจ”

“แต่ที่อยากให้ทำมากที่สุด คือ กงสี ง่ายสุด เพราะไม่ได้อยู่ในระบบ กงสีไม่เหมือนซีอีโอบริษัทมหาชนมีวันหมดอายุ มีเกษียณ แต่ กงสี ไม่มีเกษียณ ยังไงก็ต้ององค์กร เพื่อลูกเพื่อหลาน”

“ผศ.ดร.ธรณ์” ปิดบทสัมภาษณ์พิเศษเพื่อไปตามนัดในเวลาบ่ายสองกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานระดับรองซีอีโอ ว่า “สิ่งที่เราคุยมาทั้งหมด คือ การทำให้ธุรกิจเรารอด ไม่ได้ช่วยโลก”