environment

"ธารน้ำแข็ง" 1 ใน 3 ของโลก จะหายไปใน 26 ปีข้างหน้า

การศึกษาขององค์การสหประชาชาติชี้ว่า หนึ่งในสามของธารนํ้าแข็งที่สำคัญ ๆ ของโลกจะ “ละลาย” หายไปภายในปีค.ศ. 2050 ด้วยอัตราการละลายในปัจจุบัน และนั่นจะสร้างผลกระทบตามมาในหลากหลายมิติ รวมทั้งระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้น

การศึกษาขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ภายใต้ความร่วมมือกับสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ มุ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับธารนํ้าแข็งในแหล่งมรดกโลก 50 แห่งขององค์การยูเนสโก ซึ่งพบว่า แหล่งมรดกโลกดังกล่าวเป็นที่ตั้งของธารนํ้าแข็ง 18,600 แห่ง ครอบคลุมระยะทางประมาณ 66,000 กิโลเมตร และคิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 10% ของธารนํ้าแข็งทั้งหมดบนโลก

"ธารน้ำแข็ง" 1 ใน 3 ของโลก จะหายไปใน 26 ปีข้างหน้า

สิ่งที่นักวิจัยค้นพบคือ ธารนํ้าแข็งตามแหล่งมรดกโลกเหล่านี้ได้ละลายหายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 เป็นต้นมา เนื่องจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ทำให้อุณหภูมิโลกอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ปัจจุบันธารนํ้าแข็งดังกล่าวเกิดการละลายและสูญเสียนํ้าแข็งปีละ 58,000 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณนํ้าที่ประเทศฝรั่งเศสและสเปนใช้รวมกันในปีหนึ่ง ๆ ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น 5% อีกด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ธารนํ้าแข็งในแหล่งมรดกโลกเหล่านี้ หมายรวมถึงธารนํ้าแข็งที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับยอดเขาเอเวอเรสต์ในเทือกเขาหิมาลัย ที่เขตพรมแดนของประเทศเนปาลและจีน

นอกจากนี้ ยังมีธารนํ้าแข็งที่ยาวที่สุดที่พบในอลาสกา และธารนํ้าแข็งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของแอฟริกา ซึ่งรวมถึงอุทยานแห่งชาติคิลิมันจาโรและภูเขาเคนยา ส่วนธารนํ้าแข็งในยุโรปและละตินอเมริกาก็ดูเหมือนว่ากำลังจะละลายหายไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

"ธารน้ำแข็ง" 1 ใน 3 ของโลก จะหายไปใน 26 ปีข้างหน้า

รายงานการศึกษาชิ้นนี้ มีข้อสรุปว่า ธารนํ้าแข็งในแหล่งมรดกโลกมีแนวโน้มที่จะละลายหายไปภายในปี 2050 หรืออีก 26 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีความพยายามในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกก็ตาม โดยนักวิจัยกล่าวด้วยว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาธารนํ้าแข็งในพื้นที่ 2 ใน 3 ที่เหลือไว้ได้ หากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

นอกจากความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงอย่างมากแล้ว ยูเนสโกยังสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อการเฝ้าระวังและอนุรักษ์ธารนํ้าแข็งอีกด้วย โดยกองทุนดังกล่าวจะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนงานวิจัยที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง และเป็นหน่วยงานส่งเสริมเครือข่ายการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมทั้งหน้าที่ในการดำเนินมาตรการเตือนภัยล่วงหน้าและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้วย

ออเดรย์ อาซูเลย์ (Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกกล่าวว่า มีเพียงการลดระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยรักษาธารนํ้าแข็ง รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพที่ต้องพึ่งพาธารนํ้าแข็งเหล่านั้นด้วย