KEY
POINTS
หากกล่าวถึง “ดร.จุฬา สุขมานพ” ซึ่งเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถโดดเด่นที่คร่ำหวอดในภาคคมนาคมขนส่งมาอย่างยาวนาน โดยตลอดเส้นทางการทำงานของ “ดร.จุฬา สุขมานพ” ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ “ดร.จุฬา สุขมานพ” ยังเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในแวดวงการขนส่งและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ที่มีผู้คนต่างรู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในช่วงที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เมื่อเดือนตุลาคม 2559 – กันยายน 2563 ที่แก้ไขปัญหาข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยทางการบิน 33 ข้อ นำไปสู่การที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลดธงแดง ให้กับประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2560 แสดงถึงความสามารถในการแก้ไขวิกฤตการณ์สำคัญของประเทศ
สำหรับตำแหน่งสำคัญที่ “ดร.จุฬา สุขมานพ” ได้รับในกระทรวงคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ในกรกฎาคม 2555 – กรกฎาคม 2557,อธิบดีกรมเจ้าท่า ในเดือนกรกฎาคม 2557 – กันยายน 2558 ,อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ในเดือนตุลาคม 2558 – กันยายน 2559 , ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในเดือนพฤศจิกายน 2553 - กรกฎาคม 2555 และเดือนกุมภาพันธ์ 2564 – มกราคม 2566 ฯลฯ
ด้านการศึกษา “ดร.จุฬา สุขมานพ” ได้คว้าปริญญาถึง 3 ใบ โดยสำเร็จการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศ ปริญญาเอก Doctor of Philosophy จาก University of Southampton, สหราชอาณาจักร ปริญญาโท Master of Laws (Maritime Law) จาก University of Southampton, สหราชอาณาจักร และปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งยังมีพื้นฐานด้านกฎหมายที่แข็งแกร่ง ตลอดจนผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรสำคัญอย่าง หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 57 และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ รุ่นที่ 5
ล่าสุด “ดร.จุฬา สุขมานพ” ได้เล่าย้อนถึงเส้นทางการเติบโตสู่การเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า ที่ผ่านมาได้ทำงานภายใต้กระทรวงคมนาคมมาโดยตลอดจนถึงรู้สึกช่วงอิ่มตัว ซึ่งมีความตั้งใจมาสมัครและแสดงวิสัยทัศน์จนได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการอีอีซี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 จนถึงปัจจุบัน
“จากภารกิจและบทบาทหน้าที่เลขาธิการอีอีซีมีความน่าสนใจและมีความท้าทาย โดยเฉพาะการตั้งองค์กรโดยมีกฎหมายของอีอีซีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นเหตุผลที่ผมเข้ามาทำงานองค์กรแห่งนี้ หากสามารถดำเนินการได้เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแน่นอน ถือเป็นงานสุดท้ายก่อนที่จะครบอายุเกษียณราชการ” ดร.จุฬา กล่าว
เมื่อถามถึงการวางกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ธุรกิจขององค์กรนั้น โดยภายในองค์กรมีการจัดตั้งกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์อยู่ประมาณ 5 เรื่อง เช่น การจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ การดูแลระบบสาธารณูโภค การใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาเมือง ฯลฯ โดยมีเป้าหมายให้อีอีซีเป็นพื้นที่ต้นแบบที่มีผลในการดึงดูดให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่ ซึ่งผมพยายามดำเนินการให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว
ขณะที่หลักคิดหรือปรัชญาในการทำให้องค์กรประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ คือ ต้องเข้าใจบริบทขององค์รว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยสาระสำคัญคือการวางแผนบริหารองค์กรในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งหลักคิดในการทำงานมี 3 ข้อ คือ 1.การยืนหยัดในความถูกต้อง 2.ความยืดหยุ่นสอดรับกับสถานการณ์ต่างๆ แต่เมื่อในกระบวนการทำงานเพียง 2 ข้อยังไม่เพียงพอที่จะเดินหน้าต่อได้ ซึ่งจะต้องมี 3.ความแยบยล ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ โดยใช้วิธีการวางแผนและเทคนิคหลายขั้นตอน ผ่านการประสานงานเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการดำเนินการต่างๆ ที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดีเป้าหมายการพัฒนาองค์กรในช่วงที่รับตำแหน่ง “ดร.จุฬา” เล่าต่อว่า ที่ผ่านมาสำนักงานอีอีซีต้องการให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ค่อนข้างมาก ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายยุทธศาสตร์ขององค์กร โดยเม็ดเงินที่มีการลงทุนจริงผ่านพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา จะเกิดมูลค่าในระบบเศรษฐกิจประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อปี และกำหนดในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้ง 3 จังหวัดโต 5% ต่อปี ตลอดจนการวัดผลการใช้จ่ายของประชาชนในพื้นที่ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนและดัชนีการชี้วัดความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ประมาณ 2% ต่อปี
“ส่วนความท้าทายการทำงานในองค์กรนั้น มองว่าอีอีซีถือเป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งมาแล้ว 7 ปี โดยมีภารกิจพิเศษให้เป็นเขตพัฒนาพิเศษ ซึ่งเป็นการบริหารงานรูปแบบใหม่เพื่อให้อีอีซีสามารถเป็นต้นแบบในการทำงานในภาครัฐที่แตกต่างจากปกติ ทำให้อีอีซีต้องจัดการเรื่องความขัดแย้งในกรณีที่ทำงานร่วมกับกฎหมายและหน่วยงานเดิม ซึ่งกฎหมายในอีอีซีสามารถใช้อำนาจจากกฎหมายอื่นๆได้หลายเรื่อง ขณะเดียวกันทีมงานจำเป็นต้องเข้าใจในกฎหมายอื่นๆด้วย” ดร.จุฬา กล่าว
สำหรับโครงการสำคัญในอีอีซีที่ต้องเร่งผลักดันในครึ่งปีหลังปี 2568 นั้น “ดร.จุฬา” เล่าว่า ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีความตั้งใจให้โครงการสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่ล่าช้ามา 5 ปี ปัจจุบันยังค้างในประเด็นการตรวจร่างแก้ไขสัญญาของอัยการสูงสุด รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนได้อย่างจริงจังภายในสิ้นปีนี้ เพราะที่ผ่านมายังไม่สามารถทำได้มากนัก