กรมวิชาการเกษตรยัน ราคาปุ๋ยลดลง-สต๊อกมีพอ เชียร์โรงงานแม่ปุ๋ยแจ้งเกิด

04 พ.ค. 2566 | 10:15 น.

กรมวิชาการเกษตร ชี้ราคาปุ๋ยโลกลดลงใกล้ภาวะปกติ ไตรมาสแรกนำเข้า 1.2 ล้านตัน เอกชนขออนุญาตนำเข้าต่อเนื่องอีกเดือนละกว่า 3 แสนตัน ยันมีสต๊อกเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ระบุหากไทยตั้งโรงงานผลิตแม่ปุ๋ยได้เองผ่าน 3 โครงการใหญ่ พ่วงเพิ่มใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ต้นทุนเกษตรกรจะถูกลงอีก 30%

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ “วาระเร่งด่วนเกษตรกรไทย กับปัญหาราคาปุ๋ยแพง” ในงานสัมมนา THE BIG ISSUE ปุ๋ยแพง : วาระเร่งด่วนประเทศไทย ทางรอดเกษตรกร จัดโดย “ฐานเศรษฐกิจ” (2 พ.ค. 2566)

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย ได้กล่าวใน 5 ประเด็นได้แก่ 1.การใช้ปุ๋ยเคมีกับพืชเศรษฐกิจสำคัญ 2.การกำกับดูแลของกรมวิชาการเกษตรในการนำเข้าแม่ปุ๋ย และปุ๋ยเคมี 3.ภารกิจกรมวิชาการเกษตรตาม พ.ร.บ.6 ฉบับที่เกี่ยวกับการใช้ การแนะนำปุ๋ย และเคมีเกษตรแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ 4. King Bhumibol World Soil Day Award ที่ในหลวง ร.9 ได้ทรงงานในเรื่องการจัดการทรัพยากรดินเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ และท่านฯ ได้รับรางวัลจากสหประชาชาติในวันดินโลก และ 5.ภารกิจในฐานะนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

สำหรับการใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรกับพืชเศรษฐกิจ ข้าว เป็นพืชที่ใช้ปุ๋ยมากที่สุดสัดส่วนกว่า 51% อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดใช้ปุ๋ยสัดส่วนเฉลี่ยแต่ละพืช 5-9% ของการใช้ปุ๋ยโดยรวม และที่น่าในใจคือไม้ผล และพืชไร่อื่น เช่น ทุเรียนที่มีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 1 แสนล้านบาทติดต่อกัน 2 ปีซ้อน ซึ่งไม้ผลมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต และช่วยให้มีรสชาติที่ดี

กรมวิชาการเกษตรยัน ราคาปุ๋ยลดลง-สต๊อกมีพอ เชียร์โรงงานแม่ปุ๋ยแจ้งเกิด

โดยการนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทยที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 4.5-5 ล้านตัน หรือสัดส่วนกว่า 95% ของความต้องการใช้ จากไทยยังผลิตแม่ปุ๋ยเองไม่ได้ต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยกรมวิชาการเกษตรเปิดกว้างให้มีการนำเข้าแม่ปุ๋ยจากทุกแหล่งของโลกที่มีการผลิตปุ๋ยเคมีได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นจากซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ บาห์เรน ตะวันออกกลาง หรือจากจีน ออสเตรเลีย รัสเซีย แคนาดา อิตาลี ลาว เป็นต้น โดยไม่กำหนดปริมาณ หรือโควตาการนำเข้า ถือเป็นอำนวยความสะดวกในการแข่งขัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เริ่มเกิดวิกฤติอาหารหรือความไม่มั่นคงด้านอาหารของโลก ในปี 2564 จีน และอินเดีย มีการสั่งปุ๋ยนำเข้าประเทศเพิ่มขึ้น และไม่มีการส่งออกปุ๋ย ทั้งนี้เพื่อต้องการรักษาความมั่นคงด้านอาหาร จากเห็นแล้วว่าปุ๋ย คือปัจจัยหลักสำคัญในการก่อให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร ประกอบกับในปี 2565 (ที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความไม่มั่นคงด้านอาหาร มีโควิด) การนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทยกระโดดขึ้นไปถึงระดับ 1 แสนล้านบาท จากราคาปุ๋ยเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัว ขณะที่ปริมาณนำเข้าลดลง เหลือ 4.1 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม ไทยถือว่าโชคดีที่เป็นประเทศผู้ผลิตอาหารของโลกหรือครัวโลก แม้จะได้รับผลกระทบจากราคาปุ๋ย แต่ยังสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารได้อย่างต่อเนื่อง และมีจีดีพีเป็นบวกในเรื่องของอาหารและการเกษตร แต่ปัจจุบันหลังจากสถานการณ์ที่คลี่คลายลงในทุกเรื่อง จะเห็นได้ว่าเวลานี้ราคาปุ๋ยได้ลดลงอย่างมาก โดยลดลง 40-50% หรือใกล้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

 “จากการที่กรมวิชาการเกษตรได้มีมาตรการต่าง ๆ ทั้งการอำนวยความสะดวกในการนำเข้า การขึ้นทะเบียนผู้นำเข้า ปัจจุบันกรมฯขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าปุ๋ย และทะเบียนปุ๋ยไปประมาณ 1.5 หมื่นฉบับแล้ว (ที่ยังไม่หมดอายุ) ซึ่งถือว่าเยอะมาก และในไตรมาสแรกปีนี้มีการนำเข้าปุ๋ย 1.2 ล้านตัน และจะมีการนำเข้าต่อเนื่องจากสถิติฅการขออนุญาตนำเข้าอีกประมาณเดือนละ 3 แสนตัน เพราะฉะนั้นปุ๋ยไม่ขาดแคลนแน่นอน และราคาปุ๋ยก็อยู่ในภาวะปกติ เป็นสิ่งที่สบายใจได้ว่า กรมวิชาการเกษตรยืนยันว่าแม่ปุ๋ยไม่ขาดแคลน ในสต๊อกมีเพียงพอทั้งปีนี้ อย่างแน่นอน”

 ขณะที่มาตรการกำกับดูแลของกรมวิชาการเกษตรตามอำนาจทางกฎหมาย มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนตั้งแต่การนำเข้าจากท่าเรือ มีสารวัตรเกษตรนั่งเรือไปที่เกาะสีชังและโดยรอบโดยขึ้นไปตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพ กำกับมาตรฐานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังตรวจสอบโรงงานผลิต และมีการตรวจร้านค้าที่มาขึ้นทะเบียนขออนุญาตค้าปุ๋ย

 โดยผลการดำเนินงานในปี 2565 มีการตรวจร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตขายปุ๋ย 15,873 ร้านค้า ตรวจโรงงานผู้ผลิตปุ๋ย 172 ราย มีการสุ่มเก็บตัวอย่างจำนวน 123 ตัวอย่าง มีการอายัดปุ๋ยด้อยคุณภาพ 147 ตัน และดำเนินคดี 8 คดี ซึ่งจำนวนคดีถือว่าลดลงอย่างมาก หลังจากที่กรมฯได้มีความเข้มงวดในเรื่องการตรวจตราต่าง ๆ ทำให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยเต็มคุณภาพ ขณะที่ในแต่ละปีกรมฯ มีการขึ้นทะเบียนสูตรปุ๋ยประมาณ 3,000 สูตร

 นายระพีภัทร์ กล่าวถึง การดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนของการผลิต เพื่อให้ใช้ปุ๋ยได้ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลา หรือใช้ปุ๋ยตามการวิเคราะห์ค่าดินในพื้นที่ มีการแนะนำเกษตรกรในพื้นที่ว่าควรจะใช้ปุ๋ยสูตรไหน อย่างไร เป็นสิ่งที่กรมวิชาการเกษตร และสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าปุ๋ย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขยายผลช่วยกันทั้งประเทศในเวลานี้ และได้แนะนำเกษตรกรในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เอง จากมูลสัตว์ที่มากถึง 35 ล้านตันต่อปี และอินทรีย์วัตถุอื่นจากพืชอีกประมาณ 700 ล้านตันต่อปี ถือมีปริมาณเพียงพอในการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และลดการนำเข้าปุ๋ยเคมี โดยใช้เรื่องอินทรีย์วัตถุ ชีวภัณฑ์ ชีวภาพ จุลินทรีย์ เชื้อรา และอื่น ๆ ที่สามารถที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดูดซึม ดูดซับให้แร่ธาตุอาหารให้กับพืชและธัญพืชที่กรมวิชาการเกษตร สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้คิดหรือผลิตขึ้นมา

“อยากจะเห็นการรักษา และต่อยอดศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพนำสู่เรื่องของเกษตรปลอดภัย ผู้ผลิต ผู้ใช้ ผู้บริโภคปลอดภัย ดังนั้นการลดเลิกการใช้สารเคมีให้เหมาะสม ให้ถูกต้อง เป็นนโยบายสำคัญของกรมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรัฐบาล มีการใช้ปุ๋ยผสมผสานที่ถูกต้องตามอัตราการใช้ ถูกสูตร เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน การยางแห่งประเทศไทยได้มีการใช้ปุ๋ยในพืชเศรษฐกิจสำคัญ ๆ เช่น ยางพารา ได้มีการวิเคราะห์ออกมาชัดเจนเมื่อเราได้มีคำแนะนำที่ถูกต้อง ถูกที่ถูกเวลา ถูกอัตราการใช้ ถูกสูตร สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ไม่น้อยกว่า 20% ดังนั้นเป็นสิ่งที่อยากจะขยายผลต่อเนื่อง"

กรมวิชาการเกษตรยัน ราคาปุ๋ยลดลง-สต๊อกมีพอ เชียร์โรงงานแม่ปุ๋ยแจ้งเกิด

นอกจากนี้ในเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องมีแม่ปุ๋ยหลักทดแทนการนำเข้า ซึ่งทางคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติอนุญาตให้มีการผลิตและตั้งโรงงานเพื่อที่จะผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ในประเทศไทยจาก 3 แหล่ง แหล่งแรก ที่จ.นครราชสีมา (ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด)ซึ่งได้รับอนุญาตจาก ครม.ไปแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่อยู่ แหล่งที่ 2 ที่จ.ชัยภูมิ (ของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิจำกัด (มหาชน))ทราบว่ามีกำลังผลิตถึง 1.2 ล้านตัน ซึ่งได้รับสัมปทานไปแล้วเช่นกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการและระดมทุน คาดจะสามารถดำเนินการได้ในอีกประมาณ 3 ปี

เช่นเดียวกันกับแหล่งที่ 3 ที่ จ.อุดรธานี (ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด)  ซึ่ง ครม.เพิ่งอนุมัติให้ความเห็นชอบไปเมื่อปี 2565 คาดจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปีจึงจะผลิตได้ (กำลังการผลิตมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี)

"หากไทยมีแหล่งการผลิตปุ๋ยโปแตชในประเทศได้เอง และมีการใช้ปุ๋ยอย่างผสมผสาน ลดห่วงโซ่อุปทาน ลดยี่ปั๊วซาปั๊ว โดยให้สหกรณ์การเกษตร ให้ชุมนุมสหกรณ์ หรือหน่วยงานรัฐโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร และสถาบันเกษตรกรต่าง ๆ สามารถที่จะซื้อปุ๋ยจากบริษัทเหล่านี้ได้โดยตรง และให้กับพี่น้องเกษตรกรโดยตรง และเพิ่มการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภัณฑ์ ใช้ศาสตร์พระราชา ผมคิดว่าต้นทุนการผลิตต้องลดลงไม่ต่ำกว่า 20-30% ซึ่งอยากเห็นอย่างนั้น คงต้องฝากทุกช่วยกันหาแนวทาง และแนะนำในการขับเคลื่อนเพื่อให้เห็นในการลดต้นทุน"

ขณะเดียวกัน หากใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตรเข้ามาเพิ่ม เช่นการนำโดรนเพื่อการเกษตร ในการให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยลดต้นทุนได้อีก ซึ่งทางกรมฯได้จัดหลักสูตรอบรมการพ่นวัตถุอันตรายทางการเกษตรด้วยอากาศยาน(โดรน) และการใช้ปุ๋ยที่สามารถหว่านได้ด้วยโดรนเป็นหลักสูตรครั้งแรกในประเทศไทย ที่กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหลักสูตรดี ๆ นี้ ร่วมกับภาคเอกชน และขยายผลการเรียนรู้ การใช้ให้ถูกต้อง ถูกวิธี ซึ่งต่อไปพี่น้องเกษตรกรจะได้ใช้ปุ๋ยอย่างเต็มศักยภาพ และมีความปลอดภัย ซึ่งอยากจะเห็นการขยายผลไปทั่วประเทศ

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3884 วันที่ 4- 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566