"ไทยยูเนี่ยน" ทุบสถิติ ยอดขายปี 65 กว่า 1.56 แสนล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

20 ก.พ. 2566 | 08:16 น.

ไทยยูเนี่ยน เผยยอดขายปี 65 สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.56 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 7,138 ล้าน ทูน่ากระป๋องยังขยายตัวต่อเนื่อง ฝ่าเงินเฟ้อโลกพุ่ง อัตราแลกเปลี่ยนปันผวน อาหารสัตว์เลี้ยงดาวเด่นยอดโตกว่า 48% เล็งเป้าปี 66 ยอดยังโตได้ 5-6%

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ทำสถิติสูงสุด โดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนอาหารทะเลบรรจุกระป๋องยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของบริษัท ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 มียอดขาย 39,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.9% และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20.6% ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนฯ มียอดขายรวมตลอดทั้งปี 2565 ที่ 155,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โดยในปี 2565 บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% ขณะมีกำไรสุทธิ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทสามารถจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.44 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.84 บาทต่อหุ้น ซึ่งบริษัทยังคงจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 5.3%

ผลประกอบการของไทยยูเนี่ยนปี 2565 มียอดขายทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2565 เป็นปีที่ไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและมียอดขายทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวน  ซึ่งธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็นหัวใจสำคัญ ขณะเดียวกันยังต่อยอดธุรกิจให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยบริษัทยังคงพัฒนาธุรกิจเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริม และโปรตีนทางเลือก ทำให้สามารถขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ในปี 2565 ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องยังมีบทบาทอย่างมากในยอดขายของบริษัท โดยมีสัดส่วนถึง 43% ของรายได้รวม ตามด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นสัดส่วน 36% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 14% (เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 10% ในปี 2564)  และธุรกิจเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ อีก 7%

โดยในปี 2565 ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น 12.8% จากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและสหรัฐอเมริกาที่บริษัทมีการวางจำหน่ายสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภค  ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงทำผลงานได้ดีมียอดขาย  21,693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากความต้องการอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น และราคาขายที่เพิ่มขึ้น

ยอดขายของไทยยูเนี่ยน แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ

“ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในปีที่ผ่านมา โดย บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย  และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของไทยยูเนี่ยนให้อยู่ที่ระดับ 0.54 เท่า ณ สิ้นปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 0.99 เท่า”

นอกจากนี้ ธุรกิจของไทยยูเนี่ยนยังกระจายตัวอยู่ทั่วโลก โดยมีสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคดังนี้  สหรัฐอเมริกาและแคนาดาอยู่ที่ 44% ยุโรป 26%  ประเทศไทย 11% และภูมิภาคอื่น ๆ  19%

ในปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังมีการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุน 10 ล้านดอลลาร์แคนาดาในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น  หนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากสาหร่ายที่มีการเพาะเลี้ยงขึ้นอย่างยั่งยืนของโลก

นายธีรพงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า ในปี 2566 แม้จะมีภาวะเงินเฟ้อในทุกภูมิภาคทั่วโลกที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่เชื่อว่าการที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนวินัยทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางธุรกิจ จะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 5-6% โดยประมาณ และเพิ่มงบลงทุน 6,000-6,500 ล้านบาท