วันนี้ (วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568) คณะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี หารือแนวทางการส่งเสริมและยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยภาคเอกชน ประกอบไปด้วย 5 สมาคมท่องเที่ยว ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย และสมาคมสายการบินประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ภาคเอกชนมองว่าในปี 2568 นับเป็นปีที่อุดสาหกรรมท่องเที่ยวไทยไทยเผชิญความท้ายหลายด้าน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ แม้ตลาดในประเทศและตลาดระยะไกลยังคงเติบโตได้ดี แต่ตลาดระยะใกล้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและอาเชียนมีการหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยเกิน 500,000 คนต่อปี เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลี มาเลเชีย สปป.ลาว เวียดนาม โดยคาดว่าจะส่งผลให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงประมาณ 7 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักในภูมิภาคเอเชียและได้รับการจัดอยู่ในลำดับต้นของประเทศที่นักท่องเที่ยวตัวต้องการเดินทางมาเยือน แต่ปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านความคุ้มค่า (Value for Money) ความหลากหลาย (Variety) และความเป็นมิตร(Friendly) ที่เคยเข้มแข็ง กำลังถูกสั่นคลอนจากจากตันทุนการท่องเที่ยวที่สูงขึ้น
วิกฤตภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยอันเกิดจากข่าวทางลบ และความอ่อนแอในการกำกับดูแลมาตรฐานการบริการ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ในขณะที่ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรุนแรงขึ้นจากคู่แข่งรายใหม่ในภูมิภาคที่มีความพร้อมและนวัตกรรมต่อเนื่อง
ในฐานะผู้แทนจากภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงมีข้อเสนอเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะกลาง-ยาว
1.ข้อเสนอการดำเนินงานเร่งด่วนให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เน้นบริหารจัดการด้านความปลอดภัย มุ่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น แก้ภาพลักษณ์ กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและชาวไทย ได้แก่
มาตรการด้านฟื้นฟูความเชื่อมั่น (Restoring Trust)
มาตรการกระตุ้นตลาด (Reviving Market Momentum)
เช่น การจัดทำแคมเปญสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ Event และคอนเสิร์ตระดับโลกควบคู่กับการทำแคมเปญพิเศษกระตุ้นการซื้อบัตรโดยสารระหว่างประเทศ แถมบัตรโดยสารเส้นทางในประเทศ รวมถึงการให้ Incentive แก่กลุ่มประชุมสัมนาต่างประเทศ
ขยายระยะเวลามาตรการเที่ยวลดภาษีสำหรับชาวไทย มาตรการภาษีสำหรับการจัดประชุมสัมมนา ขยายเวลาโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือเพิ่มโครงการทัวร์ไทยคนละครึ่ง โดยเพิ่มกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มที่พักและบริษัทนำเที่ยว ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินเพื่อนำไปลดราคาคาบัตรโดยสารและเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางในประเทศ เป็นต้น
ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีรอยยิ้ม ความอบอุ่น จริงใจ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว นำเสน่ห์ไทยกลับมาใช้เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
2.ข้อเสนอการดำเนินงานระยะกลาง-ยาว เพื่อส่งมอบให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติ(ททช.) เป็นผู้ขับเคลื่อน
มุ่งให้เกิดการพัฒนาเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวทั้งระบบและพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืน 6 ประเด็น ได้แก่ การพัฒนาระบบบริหารจัดการความเสี่ยง การแก้กฎหมาย ด้านการท่องเที่ยวให้มีความทันสมัย การยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้า บริการ โครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวรอง สนับสนุนภาคเอกชน ในการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งชัน การส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างจุดชายใหม่ที่มีคุณค่าและสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และสร้างภาพลักษณ์และภาพจำใหม่ของประเทศไทย
ทั้งนี้ หากรัฐบาลดำเนินการยกระดับคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่น และผลักดันการพัฒนา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ทันกาล อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขัน และถูกลดบทบาทจาก "จุดหมายปลายทางหลัก" เหลือเพียง "หนึ่งในทางเลือก" ของนักท่องเที่ยวในอนาคต