สนามบินสุวรรณภูมิ คาดปีงบ 2569 ผู้โดยสารแตะ 67 ล้านคน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ สยายปีก

28 ก.ย. 2568 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.ย. 2568 | 02:11 น.

สนามบินสุวรรณภูมิ คาดปีงบประมาณ 2569 ผู้โดยสารใช้บริการ 67.7 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 397,323 เที่ยวบิน โดยสายกานบินใหม่จ่อเปิดบริการ อาทิยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เดินหน้ายกระดับบริการรองรับทั้งสายการบิน รวมถึงเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางอากาศ

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT  กล่าวว่า ทอท.แนวโน้มการใช้สนามบินสุวรรณภูมิ  ในช่วงปีงบประมาณ 2569 สนามบินสุวรรณภูมิ  คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 397,323 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสาร 67.7 ล้านคน 

โดยจะมีสายการบินใหม่มาให้บริการ อาทิ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส (United Airlines) เปิดบินในเส้นทางลาสเวกัส - ฮ่องกง-กรุงเทพฯ และแม้ว่าการจัดสรรเที่ยวบินช่วงซัมเมอร์ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาค  

ขณะเดียวกัน แนวโน้มผู้โดยสารจากสหภาพยุโรป (EU) มีการขยายตัวต่อเนื่องจากการที่สารการบินไทยกลับมาเปิดหลากหลายเส้นทางสู่ยุโรปเพื่อเพิ่ม Connectivity ตามนโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาล รวมถึงผู้โดยสารจากอินเดียที่เติบโตต่อเนื่องซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดจีนเพียงตลาดเดียว 

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ในอนาคตท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถเพิ่มเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกาได้ หลังจากองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration – FAA) ปรับสถานะไทยกลับสู่ Category 1 (CAT1) ครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากเดิมที่อยู่ใน Category 2 (CAT2) 

สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ FAA มีต่อความปลอดภัยของหน่วยงานการบินพลเรือนของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งเปิดโอกาสให้สายการบินไทยและต่างชาติสามารถขยายเส้นทางบินไกลได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ทางสนามบินยังมีแผนเดินหน้าปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารโดยมีโครงการสำคัญหลายด้าน 

อาทิ การปรับปรุงเป็นพื้นที่กิจกรรมระหว่างรอขึ้นเครื่องสำหรับผู้โดยสารขาออก ทั้ง ณ อาคารเทียบเครื่องบิน (Concourse C และ F) และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 (SAT-1) เช่น การเพิ่มพื้นที่ Kids Zone, Game Station รวมถึงโซนที่พักผ่อน เช่น Recliner Area (พื้นที่นั่งสำหรับเก้าอี้ปรับเอน) Co-Working Space, Piano Lounge รวมถึงดิจิทัลพาร์ค 

สนามบินสุวรรณภูมิ  คาดปีงบ 2569 ผู้โดยสารแตะ 67 ล้านคน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ สยายปีก

พร้อมกับดำเนินการติดตั้งเครื่องชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเป็น 203 ชุด จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 132 ชุด รวมถึงเดินหน้าปรับปรุงห้องน้ำทั้งอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินรวม 124 จุด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จครบทุกจุดภายในปี 2571

ทั้งนี้ด้านการให้บริการและความปลอดภัย ทสภ.เพิ่มเครื่อง Passenger Validation System (PVS) พร้อมปรับเปลี่ยนเครื่อง X-ray เป็นแบบ CT ที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control: ABC) เพื่อรองรับ E-passport เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น 

พร้อมกับการยกระดับการให้บริการผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิยังได้ขับเคลื่อนการเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางอากาศโดยต่อเนื่อง

นอกจากการพัฒนาระบบ Freezone Smart Access ระบบบริหารการเข้า–ออกพื้นที่เขตปลอดอากร แก้ปัญหาการจราจรหนาแน่นจากรถขนส่งสินค้ากว่า 8,000 คันต่อวัน ลดความล่าช้าในการรับ–ส่งสินค้า และป้องกันสินค้าตกเครื่องแล้ว  

ในระยะต่อไปสนามบินสุวรรณภูมิยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของ E-Commerce และตลาดโลก โดยมีแผนเพิ่มผู้ประกอบการคลังสินค้ารายที่ 3 ในปี 2571 เพื่อเสริมขีดความสามารถในการรองรับปริมาณสินค้าที่เติบโตต่อเนื่อง และขับเคลื่อนบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน

 

 

 

 

 

 

วันที่ 28 กันยายน 2568 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จะครบรอบ 19 ปี ของการดำเนินงานในฐานะสนามบินหลักของประเทศไทยและหนึ่งในศูนย์กลางการบินที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำหน้าที่ประตูสู่ประเทศไทยเชื่อมโยงผู้โดยสารจากทั่วโลก และเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การคมนาคม และการท่องเที่ยวของประเทศ

 

 

ทั้งนี้นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 ถึงปัจจุบัน ทสภ. รองรับผู้โดยสารรวมแล้วกว่า 878.65 ล้านคน เที่ยวบิน 5.45 ล้านเที่ยวบิน และการขนส่งสินค้ากว่า 20.62 ล้านตัน สะท้อนบทบาทโครงสร้างพื้นฐาน

ด้านการคมนาคมของชาติ 

 

เฉพาะปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – สิงหาคม 2568) มีสายการบินประจำให้บริการ 126 สายการบิน เที่ยวบินรวม 340,670 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 58.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.91% แสดงถึงการฟื้นตัวและความเชื่อมั่นของสายการบินและนักเดินทางทั่วโลก

 

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งพัฒนาคุณภาพการให้บริการตามแนวคิด World Class Hospitality Airport สนามบินที่ไม่ได้มีเพียงโครงสร้างขนาดใหญ่หรือเทคโนโลยีทันสมัย แต่ยังมอบความสะดวก ปลอดภัย และความประทับใจแก่ผู้โดยสาร ผ่านการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่การเช็กอินการตรวจสอบความปลอดภัย จนถึงบริการเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และครอบครัว

 

อีกทั้งยังให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรการด้านพลังงาน เพื่อการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนความมุ่งมั่นดังกล่าวส่งผลให้ ทสภ. ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ โดยได้รับการยกระดับ

จากท่าอากาศยานระดับ 3 ดาวเป็นท่าอากาศยานระดับ 4 ดาว จากการประกาศของ Skytrax องค์กรที่ปรึกษา

ด้านการจัดอันดับคุณภาพของสายการบินและท่าอากาศยานชั้นนำระดับโลกจากสหราชอาณาจักร 

 

รวมถึงได้รับการจัดอันดับจาก Brilliant Maps ให้เป็นสนามบินที่มีสายการบินให้บริการมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ จากรายงานของ ACI Asia-Pacific and Middle East (ACI APAC & MID) ซึ่งได้ร่วมกับ PwC ได้จัดให้ ทสภ. ติดอันดับ 7 สนามบินศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่มีศักยภาพสูงสุด และอันดับ 9 ของสนามบินที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศสูงสุดในปี 2567

 

ทอท.แนวโน้มปีงบประมาณ 2569 สนามบินสุวรรณภูมิ  คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 397,323 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสาร 67.7 ล้านคน โดยจะมีสายการบินใหม่มาให้บริการ อาทิ United Airlines (เส้นทางลาสเวกัส - ฮ่องกง-กรุงเทพฯ) และแม้ว่าการจัดสรรเที่ยวบินช่วงซัมเมอร์ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะศูนย์กลางการบินของภูมิภาค    

                                                         

  ขณะเดียวกัน แนวโน้มผู้โดยสารจากสหภาพยุโรป (EU) มีการขยายตัวต่อเนื่องจากการที่สายการบินไทยกลับมาเปิดหลากหลายเส้นทางสู่ยุโรปเพื่อเพิ่ม Connectivity ตามนโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาล รวมถึงผู้โดยสารจากอินเดียที่เติบโตต่อเนื่องซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดจีนเพียงตลาดเดียว 

 

ในอนาคตท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถเพิ่มเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกาได้ หลังจากองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration – FAA) ปรับสถานะไทยกลับสู่ Category 1 (CAT1) ครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากเดิมที่อยู่ใน Category 2 (CAT2) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ FAA มีต่อความปลอดภัยของหน่วยงานการบินพลเรือนของไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งเปิดโอกาสให้สายการบินไทยและต่างชาติสามารถขยายเส้นทางบินไกลได้อย่างเต็มศักยภาพยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ทางสนามบินยังมีแผนเดินหน้าปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารโดยมีโครงการสำคัญหลายด้าน อาทิ การปรับปรุงเป็นพื้นที่กิจกรรมระหว่างรอขึ้นเครื่องสำหรับผู้โดยสารขาออก ทั้ง ณ อาคารเทียบเครื่องบิน (Concourse C และ F) และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 (SAT-1) เช่น การเพิ่มพื้นที่ Kids Zone, Game Station รวมถึงโซนที่พักผ่อน เช่น Recliner Area (พื้นที่นั่งสำหรับเก้าอี้ปรับเอน) Co-Working Space, Piano Lounge รวมถึงดิจิทัลพาร์ค 

 

พร้อมกับดำเนินการติดตั้งเครื่องชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเป็น 203 ชุด จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 132 ชุด รวมถึงเดินหน้าปรับปรุงห้องน้ำทั้งอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินรวม 124 จุด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จครบทุกจุดภายในปี 2571

 

ทั้งนี้ด้านการให้บริการและความปลอดภัย ทสภ.เพิ่มเครื่อง Passenger Validation System (PVS) พร้อมปรับเปลี่ยนเครื่อง X-ray เป็นแบบ CT ที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automated Border Control: ABC) เพื่อรองรับ E-passport เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น 

 

พร้อมกับการยกระดับการให้บริการผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิยังได้ขับเคลื่อนการเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางอากาศโดยต่อเนื่อง นอกจากการพัฒนาระบบ Freezone Smart Access ระบบบริหารการเข้า–ออกพื้นที่เขตปลอดอากร แก้ปัญหาการจราจรหนาแน่นจากรถขนส่งสินค้ากว่า 8,000 คันต่อวัน ลดความล่าช้าในการรับ–ส่งสินค้า และป้องกันสินค้าตกเครื่องแล้ว  

 

ในระยะต่อไปสนามบินสุวรรณภูมิยังให้ความสำคัญกับการเติบโตของ E-Commerce และตลาดโลก โดยมีแผนเพิ่มผู้ประกอบการคลังสินค้ารายที่ 3 ในปี 2571 เพื่อเสริมขีดความสามารถในการรองรับปริมาณสินค้าที่เติบโตต่อเนื่อง และขับเคลื่อนบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้า การลงทุนในภูมิภาคอาเซียน