‘คิงเพาเวอร์’ ปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจดิวตี้ฟรี กระจายความเสี่ยงสู่จีน

12 ก.ย. 2568 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2568 | 04:48 น.

คิงเพาเวอร์ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ รับมือบริบทการท่องเที่ยวและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เผยระหว่างรอข้อสรุปการเจรจาเงื่อนไขสัญญาดิวตี้ฟรีในสนามบิน กับ ทอท.เดินหน้าหยุดเลือดโดยปิดดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ 3 สาขาในวันที่ 16 กันยายนนี้ ปรับโครงสร้างบุคคลากร รีดไขมัน ทั้งขยายโอกาสขยายดิวตี้ฟรีในประเทศจีน

คิงเพาเวอร์ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ รับมือบริบทโลกเปลี่ยน

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า คิงเพาเวอร์ อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ เพื่อรับมือกับโครงสร้างของการท่องเที่ยว และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยปัจจุบันระหว่างรอเงื่อนไขการเจรจาสัญญาดิวตี้ฟรี ในสนามบิน กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งคิงเพาเวอร์ได้เรียกร้องให้มีการพิจารณาสัญญาการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นธรรม สอดคล้องกับปัจจุบัน เพื่อให้อยู่รอดได้ หลังจากสถานการณ์ท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปหลังโควิด ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนจากทอท.ในเดือนตุลาคมนี้

ปิดดิวตี้ฟรี ดาวน์ทาวน์ 3 สาขา วันที่ 16 ก.ย.นี้

ดังนั้นคิงเพาเวอร์ จึงอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อหยุดเลือดไหล โดยนอกจากการปิดดิวตี้ฟรีดาวน์ทาวน์ 3 สาขา ได้แก่ คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ศรีวารี,คิงเพาเวอร์ มหานคร และ คิงเพาเวอร์พัทยา ในวันที่ 16 กันยายน 2568 นี้

นิตินัย ศิริสมรรถการ

ทั้งยังมีการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรีดไขมันออก และมองโอกาสในการขยายธุรกิจสู่ประเทศจีน เพื่อขยายธุรกิจดิวตี้ฟรีในสนามบิน และธุรกิจอีคอมเมิร์ส ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เป็น “รีซูม” (วัฏจักรธุรกิจ ที่มีโอกาสกลับมาเป็นขาขึ้นได้) สวนทางกับ “ดิวตี้ฟรีในเมือง” หรือ ดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรี ที่เป็นธุรกิจในกลุ่ม “รีเซ็ต” เพราะได้รับผลกระทบจากการ disruption จากแพลตฟอร์ม ออนไลน์ และตลาดนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ที่หายไป โดยเฉพาะทัวร์จีน

หลังการปิดดิวตี้ฟรีในเมืองทั้ง 3 สาขานี้ไปแล้ว คิงเพาเวอร์ ก็จะหา business model ใหม่ที่เหมาะสม เข้ามาปรับโฉมใหม่ เพื่อรีบูตธุรกิจในทั้ง 3 พื้นที่นี้กลับมาอีกครั้ง โดยมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็น แบบไฮบริดหรือปรับเปลี่ยนทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับโครงสร้างตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งแนวคิดหลัก คือ การสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามา

อาทิ การสร้างกิจกรรมต่างๆที่จะเป็นแม่เหล็กในการดึงคน รวมถึงกลุ่มครอบครัว เข้ามาใช้บริการ และการกำหนดประเภทของร้านค้าและแบรนด์สินค้าที่จะดึงดูดตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

ขณะนี้คิงเพาเวอร์กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องของรูปแบบธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาลงใน 3 พื้นที่นี้ ส่วนดาวน์ทาวน์ดิวตี้ฟรี ที่ยังเหลือเปิดให้บริการอยู่ก็จะมี 3 สาขา คือ คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี รางน้ำ, คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี วันแบงค็อก(คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีค วันแบงค็อก) และ คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ภูเก็ต

‘คิงเพาเวอร์’ ปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจดิวตี้ฟรี กระจายความเสี่ยงสู่จีน

ปรับโครงสร้างองค์กร รีดไขมัน 

ขณะที่การปรับโครงสร้างบุคคลากรก็จะมองทั้งองค์กร เพื่อรีดไขมัน และให้ได้คนที่มีคุณภาพในองค์กร ซึ่งปัจจุบันคิงเพาเวอร์ มีพนักงาน 8,000 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้พนักงานสมัครใจออกในทุกสาขา (ให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่ม) ซึ่งนอกจากการชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว เงิน on top ที่จะให้ ขึ้นกับอายุงานที่ทำงานมา

โดยจะสิ้นสุดการรับสมัครในสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยการพิจารณาการลาออกของพนักงานมีหลายเคพีไอ อาทิ พนักงานที่มีผลงานยอดขาย ต่ำกว่า 20%

คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี

กระจายความเสี่ยงขยายธุรกิจดิวตี้ฟรีสู่เซี่ยงไฮ้ จีน

นอกจากนี้คิงเพาเวอร์ ยังมองโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยโฟกัสการขยายธุรกิจดิวตี้ฟรี และอีคอมเมิร์ซ ในประเทศจีน โดยได้ไปจัดตั้ง บริษัทเซี่ยงไฮ้ คิง เพาเวอร์ คอมเมิร์ซ จำกัด (Shanghai King Power Commerce Co., Ltd.) ที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อเปิดให้บริการ “TAI HAI TAO” ร้านขนมไทยและอาหารสำเร็จรูปคุณภาพ และ “SOMBAT THAI” ร้านอาหารไทยแท้ที่คัดสรรวัตถุดิบจากประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง หนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของโลก

‘คิงเพาเวอร์’ ปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจดิวตี้ฟรี กระจายความเสี่ยงสู่จีน

รวมถึงมองโอกาสต่อยอดธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ไร้ขอบเขต และอาจจะเน้นความแข็งแกร่งในด้านการหาลูกค้า KOL (Key Opinion Leader) และ Influencer ในตลาดจีนด้วย

นายนิตินัย กล่าวต่อว่า คิงเพาเวอร์ มองว่าตลาดจีนสำคัญ เนื่องจากเป็นประชากรถึง 1 ใน 4 ของโลกและมีกำลังซื้อสูง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดจีน ซึ่งพฤติกรรมคนจีนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ไม่ได้ร่ำรวยเท่าคนรุ่นก่อน และหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าฟังก์ชันที่ดีแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์หรู

‘คิงเพาเวอร์’ ปรับโครงสร้างใหญ่ธุรกิจดิวตี้ฟรี กระจายความเสี่ยงสู่จีน

อีกทั้งการเดินทางมาเที่ยวไทยของคนจีน ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางของกลุ่มที่อยู่ในเมืองหลัก หรือเมืองระดับ Tier 1 อย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ที่เดินทางมาเที่ยวไทยบ่อยแล้ว ดังนั้นจะเห็นว่า แม้จำนวนคนจีนที่ออกนอกประเทศจะกลับมาสูงกว่าช่วงโควิด-19 ประมาณ 5-6% แต่จำนวนที่มาไทยกลับลดลง 30 % เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้หันไปญี่ปุ่นหรือเวียดนามแทน และการท่องเที่ยวแบบทัวร์ลดลง เพราะนักท่องเที่ยวจีนมีเครื่องมืออย่าง Google Maps และ C-Trip ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลและเดินทางด้วยตัวเองได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ “disrupt” captive demand รายได้จากดิวตี้ฟรีในเมืองจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ทั้งนี้แม้จะยังมีคนจีนอีกกว่า 50 ล้านคนจากเมือง Tier 2-5 ที่ยังไม่เคย มาเที่ยวไทย แต่อย่างไรก็ตาม ซัพพลายเชนของธุรกิจทัวร์เพื่อดึงดูดกลุ่มนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้การจะรอให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาเที่ยวไทยได้มากเหมือนในอดีต คงต้องใช้เวลา คิงเพาเวอร์จึงตัดสินใจ ขยายธุรกิจไปที่จีน โดยเป็นการกระจายความเสี่ยง โดยเริ่มต้นที่ การเปิดร้านค้าอาหาร ขนมไทย ผลิตภัณฑ์ไทย ในสนามบินแห่งนี้ก่อน เพราะเราจะได้เรียนรู้กระบวนการที่ซับซ้อนในการทำธุรกิจในจีน เพราะ การขายเบียร์ อาหาร และเครื่องดื่มต้องขอใบอนุญาตที่ซับซ้อน ซึ่งหากสามารถจัดการกับ “โจทย์ยาก” เหล่านี้จะนี้ก็จะทำให้การขยายธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องการใบอนุญาตน้อยลงทำได้ง่ายขึ้น

รวมไปถึงคิงเพาเวอร์ ยังมองในอนาคตต่อไปด้วย เนื่องจากท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง มีแผนจะเปิดให้บริการ อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 หรือ Terminal 3 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 ดังนั้นในปี 2570 ก็จะต้องมีการเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์ ก็มองโอกาสที่จะยื่นเสนอตัวเพื่อดำเนินธุรกิจดิวตี้ฟรีในพื้นที่นี้ และต่อไปหากมีความแข็งแกร่งในเซี่ยงไฮ้ การพิจารณาขยายดิวตี้ฟรีไปยังสนามบินอื่น ๆ ในจีนหรือประเทศอื่น ๆ ก็มีความเป็นไปได้

หวังทอท.เร่งสรุปการเจราสัญญาดิวตี้ฟรี ในสนามบิน

อย่างไรก็ตามการขยายโอกาสธุรกิจสู่ประเทศจีน ยังเป็นการกระจายความเสี่ยง หากการเจรจาสัญญากับทอท.ไม่เป็นไปอย่างที่คิงเพาเวอร์คาดหวังไว้ หรือ หากทอท.กำหนดให้มีการประมูลใหม่ คิงเพาเวอร์ก็พร้อมที่จะเข้าร่วม หากเงื่อนไขที่นำเสนอมีความคุ้มค่าและทำกำไรได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนพิจารณาเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามการเจรจาสัญญากับทอท.คิงเพาเวอร์คาดหวังแค่บทสรุปที่ “เป็นมาตรฐาน ที่ ทอท. ใช้กับผู้ประกอบการรายอื่น” ปฎิบัติกับคิง เท่ากับปฎิบัติในมาตรฐานเดียวกับรายอื่น

โดยการดำเนินธุรกิจดิวตี้ฟรี ที่สนามบิน เป็นแผลใหญ่ เพราะเราป่วยด้วยเงื่อนไขการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ minimum ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ลดไม่ลด ซึ่งถ้าเงื่อนไข minimum การันตีลดลง ธุรกิจดิวตี้ฟรีในสนามบินก็จะรีคัฟเวอร์ และหากมีข้อสรุปที่ชัดเจน คิงเพาเวอร์ ก็จะได้เดินหน้าธุรกิจต่อไปได้อย่างเต็มที่ต่อไป