นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT กล่าวว่า AOT ได้มีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทางอากาศ อีกทั้งยังมีบทบาทโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ ของประเทศ ด้วยการ “พัฒนาท่าอากาศยาน” ให้มีความทันสมัย เพื่อรองรับหน้าที่ “ประตูสู่ประเทศ” โดยมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค “Aviation Hub”
ในปีที่ 46 การดำเนินงานของ AOT ได้กำหนดธีมหลัก คือ “World Class Hospitality” ซึ่งหมายถึง “การให้บริการอย่างอบอุ่นและใส่ใจ” โดยเชื่อว่าความเป็น คนไทยที่มีความน่ารัก และใส่ใจเป็นพื้นฐาน ที่ดีอยู่แล้ว เป้าหมาย คือ การดูแลผู้โดยสาร ผู้ติดต่อ ผู้ร่วมงาน และ เพื่อนร่วมงานอย่างอบอุ่นและใส่ใจ การดูแลผู้โดยสาร เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด
นอกจากการบริการ ด้วยใจแล้ว ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ต้องครบครันและทันสมัย เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับการบริการที่รวดเร็วและสะดวกสบายขึ้นตลอดการเดินทาง
“World Class Hospitality” ไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่เป็นปรัชญาที่จะเปลี่ยนแปลงทุกการสัมผัสของผู้โดยสารในการเดินทาง ทำให้เกิดความประทับใจในการบริการเราไม่ได้แค่ดูแลสนามบิน เราสร้างประสบการณ์ที่จะทำให้ทุกการเดินทางกลายเป็นเรื่องราว พิเศษ เพื่อสร้าง “Customer Journey” รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าว
ดังนั้น AOT จึงมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อยกระดับ ทั้งในด้านคุณภาพการให้บริการ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย รวดเร็ว น่าประทับใจ และรองรับการเติบโตของผู้โดยสารในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อความรวดเร็ว และสะดวกสบาย
อาทิ “Transportation” การนำเทคโนโลยีมาใช้กับการจัดการอาคารจอดรถ “Check-in” มีเครื่อง Self Check-in และ Self Bag Drop เพื่อลดคิวและเพิ่มความสะดวก “Security Check” การใช้เครื่อง X-ray เทคโนโลยีสูง
ทำให้ลดจำนวนสิ่งของที่ต้องนำออกมาจากกระเป๋า เพื่อตรวจสอบ การนำระบบ “Biometrics” มาใช้เพื่อให้ผู้โดยสารสแกนใบหน้าสามารถผ่านไปยังจุดขึ้นเครื่องได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
นอกเหนือจากเทคโนโลยี AOT ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุง พื้นที่กายภาพหลังผ่านจุดตรวจค้น ซึ่งปัจจุบันผู้โดยสารยังประสบปัญหาพื้นที่พักคอยไม่เพียงพอ จึงมีแผนพัฒนาพื้นที่สำหรับ พักคอย, พื้นที่ทำงาน (working space) และพื้นที่สำหรับเด็กๆ เพื่อให้ช่วงเวลาที่รอคอยมีคุณค่าสำหรับผู้โดยสาร
รวมถึงยังเน้นย้ำผู้ประกอบการร้านค้าในเรื่องความสะอาด คุณภาพสินค้าและบริการที่สะท้อนความเป็นไทย รวมถึงการดูแลสัมภาระของผู้โดยสารด้วยความใส่ใจ “เหมือนกระเป๋าของตัวเอง”
สำหรับพนักงาน AOT ทุกคนจะได้รับการอบรมภายใต้มอตโต้ “ปลอดภัยคือมาตรฐาน บริการด้วยหัวใจ” โดยส่งเสริมให้พนักงานเข้าใจความต้องการของผู้โดยสารและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดี
การนำ Soft Power ของไทยมาใช้ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยเน้นการผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ประติมากรรมรูปยักษ์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้ากับการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น การออกแบบห้องน้ำให้มีความเป็นไทย
การแสดงออกถึงความเป็นไทยผ่านบุคลากร เช่น การแต่งกาย AOT ต้องการให้ท่าอากาศยานเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ “ความเป็นไทย” ที่นักท่องเที่ยวรู้สึกได้ตั้งแต่มาถึงและจดจำไปเมื่อจากไป
อีกทั้ง AOT ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง กับการยกระดับคุณภาพการให้บริการ (Airport Service Quality) ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ซึ่งหนึ่งในภารกิจที่สำคัญ คือ การผลักดันและขับเคลื่อนแผนปรับปรุงพื้นที่ให้บริการภายในท่าอากาศยานให้มีความทันสมัย โปร่ง โล่ง สบาย ผ่อนคลาย และสะอาด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ของผู้โดยสารในปัจจุบัน
เช่น การจัดโซนนิ่ง ในอาคารผู้โดยสารใหม่ให้เหมาะสม จัดพื้นที่สันทนาการ สนามเด็กเล่น พื้นที่พักคอยในบรรยากาศผ่อนคลาย เพิ่มจุดให้บริการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงจัดการแสดงศิลปะวัฒนธรรมทั้งไทยและสากล เป็นต้น
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีผู้โดยสารใช้บริการมากสุด AOT มีแผนจะผลักดันให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก้าวเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค ยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้โดยสาร ผ่านโครงการ “Suvarnabhumi Airport Experience Enhancement”
ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่บริเวณอาคารผู้โดยสารขาออก Concourse C เพื่อเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารทุกเพศทุกวัย เช่น Kids and Gaming Zone สำหรับผู้โดยสาร กลุ่มครอบครัว และพื้นที่ Relaxing Co-Working Space Zone และ Digital Park Seats สำหรับกลุ่มวัยทำงาน พร้อมเปิดใช้งานได้ภายในปี 2569
ทั้งอยู่ระหว่างการปรับปรุงห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งในส่วนของอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จภายในปี 2571
นางสาวปวีณา ยังกล่าวต่อว่า AOT มองเห็นภาพใหญ่ที่ไกลกว่าการเป็นเพียงผู้ให้บริการท่าอากาศยาน แต่เป็น “ฟันเฟืองหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” โดยมีบทบาทที่จะยกระดับประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม
การรองรับปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารในท่าอากาศยาน ทั้ง 6 แห่ง ของ AOT ใน 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568) มีจำนวนเที่ยวบินรวม 602,195 เที่ยวบิน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 9.79 %
แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 341,523 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 260,672 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 97.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.87% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 59.48 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 37.76 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้โดยสาร
ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567- พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ของ AOT รวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
AOT มีแผนการพัฒนาและขยายขีดความสามารถของ 6 ท่าอากาศยาน เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
“ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ศักยภาพเดิมรองรับได้ 45 ล้านคนต่อปี แต่ด้วยการพัฒนาในอดีตและนำเทคโนโลยีมาใช้ ปัจจุบันสามารถรองรับได้ถึง 65 ล้านคนต่อปี AOT ไม่หยุดที่จะเพิ่มศักยภาพการรองรับ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบิน รองหลังที่ 1 (Satellite Terminal) ในปี 2566 การเปิดให้บริการรันเวย์เส้นที่ 3 ในเดือนตุลาคม ปี 2567
ทั้งยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ขยายการรองรับผู้โดยสาร เพิ่มเป็น 80 ล้านต่อปี ซึ่งจะต้องนำเสนอ ครม.อนุมัติ หากอนุมัติจะเริ่มจัดหาและก่อสร้างช่วงต้นปีหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่เช็กอินและรับกระเป๋า
โครงการพัฒนาพื้นที่ด้านทิศใต้ (South Development) ขณะนี้การจัดทำงานแผนแม่บท (Master Plan) ดำเนินการศึกษาไปได้ราว 80% และจะนำเสนอ ครม. ต่อไป ซึ่งประกอบไปด้วย การสร้างรันเวย์เส้นที่ 4 ขยายการรองรับเที่ยวบิน 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ ขยายการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเป็น 120 ล้านคนต่อปี รวมถึงโครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้านการบิน เพื่อให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็น Aviation Hub อย่างแท้จริง
“ท่าอากาศยานดอนเมือง” ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการประมาณ 28 ล้านคน ซึ่งเกินขีดความสามารถเดิมที่ 25 ล้านคน แต่ปัญหาของสนามบิน คือ อาคารผู้โดยสารปัจจุบันค่อนข้างแคบและยาว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการประสบการณ์ผู้โดยสารที่ดีได้
AOT จึงมีแผนพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 ในการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ (Terminal 3) ซึ่งจะประกอบด้วยองค์ประกอบและเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อรองรับทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ
โครงการนี้เดิมขออนุมัติ ครม. ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท แต่มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้เป็นสนามบิน ที่รองรับผู้โดยสารใกล้เมืองอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำเสนอ ครม. เพื่อขอเปลี่ยนแปลงต่อไป เป้าหมายการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง จะรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 40 ล้านคนต่อปี โดยเป็นศูนย์กลางการเดินทางภายในประเทศ AOT
“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 5-6 ล้านคนต่อปี วิสัยทัศน์ คือ ต้องการผลักดันเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งการซ่อมอากาศยาน (Aviation MRO City)” และเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ AOT จึงมีโครงการขยาย : ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารให้สะดวกสบายขึ้น โดยมีเป้าหมาย รองรับผู้โดยสารได้ 8 ล้านคน
“ท่าอากาศยานเชียงใหม่” ปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการราวประมาณ 10 ล้านคนต่อปี AOT จึงมีโครงการขยายท่าอากาศยานเชียงใหม่ ขณะนี้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีแผนสร้างอาคารใหม่เพื่อรองรับทั้งเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมถึงปรับปรุงภายในทั้งหมดและแก้ไขปัญหาจราจรหน้าสนามบิน ซึ่งคาดว่าจะนำแบบและงบประมาณเสนอ ครม.ในปีหน้า
เนื่องจากต้องดำเนินการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA และกระบวนการอื่นๆ ให้แล้วเสร็จก่อน มีเป้าหมายขยายการรองรับผู้โดยสารเบื้องต้นได้ 12 ล้านคนต่อปี และสูงสุดที่ 18 ล้านคนต่อปี
ทั้งในแผนระยะยาว มีการศึกษาควบคู่ไปกับโครงการ “ท่าอากาศยานล้านนา” เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หรือเที่ยวบินระหว่างประเทศในอนาคต หากจำเป็นต้องย้ายสนามบินออกไปนอกเมือง เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน
“ท่าอากาศยานภูเก็ต” ปัจจุบันรันเวย์สามารถรองรับได้ 18 ล้านคน แต่อาคารผู้โดยสาร (Terminal) รองรับได้เพียง 12 ล้านคน ทำให้เกิดความแออัดอย่างมาก AOT จึงมีแผนพัฒนาศักยภาพของสนามบิน โดยจะขยายและปรับปรุง Terminal ให้รองรับผู้โดยสารได้ 18 ล้านคน ในเฟสแรก พร้อมปรับปรุงรันเวย์ และ Slot การบินให้เหมาะสม ขณะนี้ได้ผู้รับเหมาออกแบบแล้วเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา
การพัฒนาคาดว่าจะเห็น “ท่าอากาศยานภูเก็ตโฉมใหม่” ภายใน 2 ปีข้างหน้า ขณะที่แผนระยะยาว AOT มีการศึกษา “ท่าอากาศยานอันดามัน” ควบคู่กันไป ซึ่งดำเนินการศึกษาไปแล้ว 50% เพื่อเป็นทางเลือกในการขยายหรือสร้างสนามบินเสริมในอนาคต
“ท่าอากาศยานหาดใหญ่” ปัจจุบันอาคารผู้โดยสารเก่ามาก อายุประมาณ 40-53 ปี AOT มีวิสัยทัศน์ต้องการปรับปรุงสนามบินให้มีส่วนร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลา โดยเป็นประตูเชื่อมต่อกับมาเลเซีย ดังนั้นขณะนี้กำลังจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินเป้าหมาย คือ การรองรับผู้โดยสารได้ 10 ล้านคนต่อปี
AOT ในฐานะผู้ให้บริการ 6 ท่าอากาศยานหลักของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน Aviation Hub ซึ่งการเป็นศูนย์กลางการบินที่แท้จริง ต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
ได้แก่ 1. ผู้โดยสาร ต้องได้รับบริการที่สะดวกสบายและประทับใจ 2. เครื่องบิน ต้องมีที่จอด, สามารถเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสาร หรือการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO - Maintenance, Repair, and Overhaul) AOT กำลังผลักดันโครงการ MRO และ 3. สินค้า/คาร์โก้ ต้องมีพื้นที่เพียงพอรองรับการขนส่งสินค้าทางอากาศ
ปัจจุบันพื้นที่คาร์โก้ยังมีจำกัดการผลักดันทั้งสามส่วนนี้ไปพร้อมกันจะทำให้ AOT เป็นศูนย์กลางการบินที่แท้จริง และนำพาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินที่ใหญ่ระดับโลกได้นั่นเอง
ขณะที่ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AOT จะเร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ตามปริมาณการเติบโตของผู้โดยสาร
โดย “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” จะเร่งก่อสร้าง “ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก” (East Expansion) ให้แล้วเสร็จในปี 2573 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถจากปัจจุบัน 65 ล้านคนต่อปี เป็น 80 ล้านคนต่อปี
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ควบคู่กับการเริ่มดำเนินโครงการ “พัฒนา
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านทิศใต้” ประกอบด้วย อาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) และทางวิ่งเส้นที่ 4 (4th Runway)
สำหรับ “ท่าอากาศยานดอนเมือง” คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคาร ผู้โดยสารอาคาร 3 ได้ภายในปี 2569 และเปิดให้บริการ อาคารผู้โดยสารอาคาร 3 เพื่อรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศในปี 2573 และปรับปรุงอาคารผู้โดยสารอาคาร 1 เพื่อรองรับผู้โดยสารภายในประเทศในปี 2575
พร้อมกันนี้จะปรับปรุง “ท่าอากาศยาน เชียงใหม่” ให้แล้วเสร็จในปี 2576 รองรับผู้โดยสารได้ 20 ล้านคนต่อปี ส่วน “ท่าอากาศยานภูเก็ต” จะก่อสร้างส่วนต่อขยาย อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานภูเก็ตเป็น 18 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี 2573
“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” มีแผนจะพัฒนาให้รองรับผู้โดยสารจาก 3 ล้านคนต่อปี เป็น 6 ล้านคน ต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2576
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,132 วันที่ 18 - 20 กันยายน พ.ศ. 2568