ท่องเที่ยวไทยอ่วมบาทแข็ง กระทบสูญรายได้ 17 % แพงกว่าเที่ยว ญี่ปุ่น เวียดนาม

22 ก.ย. 2568 | 11:12 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.ย. 2568 | 02:02 น.

ททท.เผยเงินบาทแข็งค่า กระทบไทยจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยว 15-17 % จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมองว่า การเดินทางเข้าไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น ชี้กระทบหนักนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา ชลอตัว ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปยังแกร่ง ขณะที่คนไทยสบช่องเที่ยวต่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 19 ก.ย. 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 7.24 % โดยอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจาก 34.23 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2568 มาอยู่ที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2568 การแข็งค่าบาทกระทบแน่นอนต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะส่งผลให้ต้นทุนในการท่องเที่ยว

ขณะที่ค่าเงินหยวนอยู่ที่ 7.2963 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าเล็กน้อยประมาณ 2.35% จาก 1 ม.ค .2568 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 7.1028 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเงินเยนญี่ปุ่นขณะนี้อยู่ที่ 147.9490 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าประมาณ 5.51 % จาก 1 ม.ค. 2568 ที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 157.7226 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินดองเวียดนามขณะนี้อยู่ที่ 26,374 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าเล็กน้อย 3.38% จาก 1 ม.ค. 2568 ที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 25,510 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

เงินบาทที่แข็งค่าเงิน สวนทางกับประเทศคู่แข่ง เช่นญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม ททท.จึงประเมินผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อแลกเงินเป็นเงินบาท ได้จำนวนเงินน้อยลง ทำให้ค่าใช้จ่าย เช่น ราคาห้องพัก อาหาร และค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว อาจดูแพงขึ้น

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

ส่งผลให้ไทยจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 15-17% จากการที่ต่างชาติมองว่า การเดินทางเข้าไทยแพงกว่าประเทศคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น ทั้งค่าอยู่ ค่ากิน จากงบประมาณที่วางไว้ ทำให้มีการใช้จ่ายลดลง และบางคนก็หนีไปเที่ยวประเทศที่ค่าเงินถูกกว่าไทย แถมคนไทยที่พอจะมีเงินก็หนีไปเที่ยวต่างประเทศ ทั้งจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม

ทั้งนี้เงินบาทไทยแข็งค่าเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ รองจาก ฟรังก์สวิส ซึ่งแข็งค่าขึ้นมากถึงประมาณ 12.32 % เงินยูโร แข็งค่าขึ้น 5.18 %

เงินบาทแข็งค่า

ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เกิดขึ้นตั้งแต่การเริ่มใช้ภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นมา สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้นในเดือนกรกฎาคมเมื่อใกล้ถึงวันประกาศการใช้ภาษีอัตราตอบโต้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจ

เนื่องจากมีแนวโน้มว่าค่าครองชีพและราคาสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากภาษีดังกล่าว (บางประเทศคู่ค้ามีภาษีเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20-40 %) รวมทั้งยังสร้างความวิตกต่อตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะตามมา

ดังนั้นเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลกระทบตรงต่อนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา ที่ตลาดหดตัวเล็กน้อย โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา จากก่อนหน้านั้น ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 ตลสหรัฐอเมริกาเที่ยวไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยเพิ่มขึ้น 22 % ในเดือนมกราคม และเพิ่มขึ้นประมาณ 7-12 % ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน

บาทแข็งกระทบท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2568 ตลาดสหรัฐอเมริกาเริ่มหดตัวลงเล็กน้อยประมาณ 2 % โดยการแข็งค่าของเงินบาทที่เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม (หลังการขึ้นภาษีตอบโต้ในเดือนเมษายน) ได้เริ่มกระทบต่อนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระหว่างวันที่ 1-19 กันยายน 2568 พบว่า นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกามีจำนวนประมาณ 33,400 คน ซึ่งลดลง 5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นตลาด Super Long Haul ที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างสูง การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและทำให้นักท่องเที่ยวแลกเงินบาทได้น้อยลงจึงเป็นปัจจัยสำคัญ

ท่องเที่ยวไทยอ่วมบาทแข็ง กระทบสูญรายได้ 17 % แพงกว่าเที่ยว ญี่ปุ่น เวียดนาม

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจในประเทศตนเอง โดยคาดว่าราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าไปขายในสหรัฐฯ จะเริ่มมีราคาแพงขึ้นเมื่อสินค้าในสต็อกเก่าหมดไปและมีการนำเข้าใหม่ ทั้งนี้คาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการเดินทางออกที่ลดลงของนักท่องเที่ยวอเมริกัน เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับหลายสกุลเงินทั่วโลก

ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวยุโรปยังเติบโตไม่ได้รับผลกระทบ และในส่วนของตลาดอื่น ๆ คาดว่าการแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยตลาดหลักในยุโรปยังคงมีนักท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ได้แก่ สหราชอาณาจักร (UK), ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, เยอรมนี, รัสเซีย, กลุ่มยุโรปตะวันออก (ซึ่งเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในแต่ละเดือน), และกลุ่มยุโรปใต้

อย่างไรก็ตาม ททท.ระบุว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจทำให้เป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวปีนี้หดตัวจากที่ตั้งไว้ โดยอยู่ระหว่างการทบทวนแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวใหม่ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น และลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนให้น้อยที่สุด

นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจลดลงแล้ว ททท.ยังพบพฤติกรรมของคนไทยบางส่วนที่มีกำลังซื้อ เริ่มเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ค่าเงินอ่อนลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูกลง เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และจีน