นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) มองว่า จากที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ชุดที่ 22 ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่า เป็นวันละ 400 บาท ในหลายพื้นที่และบางกิจการทั่วประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่กรุงเทพฯ (ทั่วพื้นที่) ส่วนต่างจังหวัดปรับเฉพาะบางกิจการ ได้แก่ โรงแรมตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีห้องพัก 50 ห้องขึ้นไปที่มีห้องอาหารในโรงแรม รวมถึงสถานบริการ ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ เช่น คาราโอเกะ ค็อกเทลเลานจ์ เป็นต้น และจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
การปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวในส่วนของธุรกิจโรงแรม ส่งผลด้านค่าจ้างพนักงานโรงแรมเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% โดยเฉพาะในบางจังหวัดที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาก ยังต้องจ่ายค่าแรงขั้นตํ่าเพิ่มเป็น 400 บาทต่อวัน จากเดิมที่เคยจ่ายตํ่ากว่า 400 บาท ส่งผลต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น บางจังหวัดมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 18.69% ถือเป็นการซํ้าเติมธุรกิจกลุ่มที่ยังขาดสภาพคล่องเป็นทุนเดิมเพิ่มขึ้นไปอีก
ปัจจุบันพบว่าโรงแรมในต่างจังหวัด จะได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าในครั้งนี้เฉลี่ย 10-15% เช่น ตรัง น่าน พะเยา แพร่ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 15.94% เชียงใหม่ เพิ่มขึ้น 12.04% กาญจนบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ พังงา พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี เพิ่มขึ้น 13.64% หรือกรณีพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) ปัจจุบัน ค่าจ้างขั้นตํ่าอยู่ที่ 337 บาทต่อวัน เท่ากับว่าปรับเพิ่มขึ้นถึง 18.69% ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปไม่ได้มีมากนัก
สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ การปรับขึ้นรอบนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ในหลักการและเหตุผล เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปหนาแน่น และยังเป็นการปรับขึ้นแค่ราว 7.5% จากอัตราเดิม 372 บาท เป็น 400 บาท
“การเพิ่มขึ้นของต้นทุนด้านค่าแรง 10-20% สำหรับจังหวัดที่ไม่ได้มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากนั้น จะเป็นปัญหาต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวในระยะยาวแน่นอน ซํ้าเติมธุรกิจที่ยังมีนักท่องเที่ยวน้อย โดยเฉพาะโรงแรมในต่างจังหวัด และสิ่งที่เสียใจมากๆ คือ ค่าแรงขั้นตํ่าควรจะสะท้อนค่าครองชีพ และควรปรับค่าแรงขั้นตํ่าอย่างทั่วถึง ไม่ควรที่จะเลือกขึ้นค่าแรงขั้นตํ่ากับอาชีพใดอาชีพหนึ่ง ซึ่งไม่ยุติธรรมกับทั้งผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการ”
จากผลกระทบที่เกิดขึ้นทางสมาคมโรงแรมไทย จึงได้ทำหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า เฉพาะกลุ่มอาชีพในภาคบริการ และอุตสาหกรรมโรงแรม โดย ตามที่กระทรวงแรงงานและคณะกรรมการไตรภาคี ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็น 400 บาทต่อวัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพภาคบริการ และอุตสาหกรรมโรงแรม ได้แก่ โรงแรมตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 50 ห้องขึ้นไป รวมถึงสถานบริการอื่นๆ นั้น สมาคมโรงแรมไทย มีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมติดังกล่าว ด้วยเหตุผลหลัก ดังต่อไปนี้
1.ภาวะการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว อย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันภาคการท่องเที่ยว ของประเทศไทย กำลังเผชิญกับภาวะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จากตลาดหลักในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย และรัสเชีย ทั้งยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศ ส่งผล ให้รายได้ของผู้ประกอบการโรงแรมลดลง ขณะเดียวกันต้นทุนด้านวัตถุดิบ ค่าพลังงาน และแรงงานก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากอยู่แล้ว การขึ้นค่าแรงในช่วงเวลานี้จะซํ้าเติมภาระผู้ประกอบการและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
2.การกำหนดขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มอาชีพถือเป็นความไม่เป็นธรรม การปรับขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มอาชีพ เช่น โรงแรมตั้งแต่ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีห้องพักเกิน 50 ห้อง ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเพื่อมระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งยังยังสร้างแรงใจในทางลบที่อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายไม่ประสงค์ขอใบอนุญาตโรงแรม หรือลดการพัฒนาและยกระดับมาตรฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งจะส่ง
ผลกระทบต่อคุณภาพและศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม
3.กระทบต่อการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดท่องเที่ยวโลก การเพิ่มภาระดันทุนเฉพาะกลุ่มโดยไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและอุปสงค์ของตลาด อาจทำให้ประเทศ ไทยสูญเสียความสามารถ ในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นสมาคมโรงแรมไทยจึงขอให้นายกรัฐมูนตรี พิจารณาส่งเรื่องกลับไปยังคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทบทวนมติและพิจารณายกเลิกการกำหนดปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเฉพาะกลุ่มอาชีพ และขอให้พิจารณานโยบายในภาพรวมที่สะท้อนความเป็นธรรมและความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกระดับ
นอกจากนี้สมาคมยังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย จัดทำผลสำรวจ “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม” ประจำเดือน พ.ค. 2568 พบว่า ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ประเมินว่านักท่องเที่ยว ต่างชาติ โดยรวมในปี 2568 มีแนวโน้มปรับลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ (ไม่รวมจีน) จึงอาจส่งผลให้รายได้ของธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 2 ปีนี้มีแนวโน้มปรับลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธุรกิจโรงแรมบางส่วนที่รับกลุ่มตลาดระยะไกล อาทิ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าตลาดระยะใกล้ (ไม่รวมจีน) คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะปรับเพิ่มขึ้น
โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเดือน พ.ค. 2568 อยู่ที่ 56% มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป รัสเซีย และเอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) ส่วนการ
คาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในเดือนมิ.ย.นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 51.5% ปรับลดลงจากเดือน พ.ค. ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรมมากกว่าครึ่ง คาดว่า รายได้ ของธุรกิจโดยรวมในไตรมาส 2 ปี 2568 มีแนวโน้ม ปรับลดลง เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือโลว์ซีซัน
ประกอบกับภาคท่องเที่ยวยังเผชิญกับ ปัจจัยลบ ทั้งด้านเศรษฐกิจโลกชะลอตัว พฤติกรรมนักท่องเที่ยวและความต้องการด้านการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป ทางการในหลายประเทศมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูงขึ้น ราคาที่พักและบริการท่องเที่ยวในไทยปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวอาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ความคุ้มค่าในการท่องเที่ยวลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรพิจารณา รวมทั้งภาพลักษณ์ความปลอดภัย คุณภาพการบริการ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการแก้ไข
ดังนั้นภาครัฐและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องควรผลักดันกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ผ่าน 5 มาตรการ ได้แก่ 1.เร่งโปรโมตสร้างภาพลักษณ์เชิงรุก 2.ยกระดับความปลอดภัยทุกมิติ 3. แก้ปัญหาอำนวยความสะดวกครบวงจร 4.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ 5.สร้างกิจกรรมดึงดูดตลอดปี
สมาคมโรงแรมเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้รู้สึกว่าการมาเที่ยวไทยคุ้มค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
รวมถึงโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซัน ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ย.2568 ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติลดลง ซึ่งเรามองว่าผลของโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” อาจช่วยกระตุ้นรายได้ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่คาดว่าไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ไม่มีมาตรการนี้
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,108 วันที่ 26 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568