ล่าสุด “การบินไทย” ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จ หลังใช้เวลากว่า 4 ปี นับจากเดือนพฤษภาคม 2563 บรรลุเงื่อนไขการยกเลิกฟื้นฟูกิจการ พลิกส่วนทุนจากติดลบ 1.4 แสนล้านบาท กลับมาเป็นบวก 55,000 ล้านบาท
จากหนี้กว่า 4 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟู 189,578 ล้านบาท ซึ่งได้ทยอยชำระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้อย่างต่อเนื่อง จนถึงไตรมาส 1 ปี 2568 ชำระหนี้ไปแล้ว 94,080 ล้านบาท เหลือหนี้ที่ต้องชำระจนถึงปี 2579 ราว 95,498 ล้านบาท โดยจะทยอยจ่ายเฉลี่ยราว 7,000 ล้านบาทต่อปี และทิศทางการบินไทยจากนี้ ภายใต้การขับเคลื่อนของบอร์ดการบินไทย ที่ทำหน้าที่ต่อจากคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟู คือ การผลักดันให้การบินไทยมีกำไรอย่างยั่งยืน และนำบริษัทกลับซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าในการประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)การบินไทย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.68 ยังไม่ได้หารือถึงนโยบายหรือทิศทางการบินไทยจากนี้ไป เน้นแค่การออกจากแผนว่า ต้องทำอะไรต่อบ้าง และการจะนำหุ้นกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ในต้นเดือนสิงหาคมนี้
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปัจจุบันผู้บริหารแผนฟื้นฟูได้หมดหน้าที่ลงแล้ว และได้ส่งมอบงานให้บอร์ดการบินไทยชุดใหม่ ซึ่งจะต้องมีการส่งมอบทรัพย์สิน รายการทรัพย์สินของบริษัทเหมือนตอนที่ผู้บริหารแผนรับมาจากผู้ทำแผน โดยในการประชุมบอร์ดการบินไทยนัดแรก ได้มีการแต่งตั้ง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานบอร์ดการบินไทย ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กรรมการ เป็นประธานกรรมการสรรหาและค่าตอบแทน และ นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล อัยการพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นประธานกรรมการตรวจสอบ
ทั้ง 3 คน ถือเป็นคนดี การแต่งตั้งบอร์ดใหม่นี้ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าการบินไทยจะสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการฟื้นฟูกิจการแล้ว โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงของ DNA ผู้บริหารและพนักงานการบินไทยที่เปลี่ยนไปพอสมควร ผู้บริหารและพนักงานต้องมีความเข้มแข็งและความสามัคคีในการทำสิ่งที่ถูกต้อง หากสิ่งใดไม่ถูกต้อง พนักงานจะไม่ยอมทำ และจะต้องมีการอธิบาย ผู้ใหญ่สั่งให้ทำ ก็ต้องฟังว่าสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งนี้ควรทำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากอดีต
รวมถึงบอร์ดยังได้เตรียมความพร้อมในการนำการบินไทยกลับมาเทรดอีกครั้ง โดยที่ปรึกษาการเงินได้นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการเทรด ซึ่งจะต้องยื่นคำขอไปที่ตลาดหลักทรัพย์และขออนุมัติให้เข้าตลาดได้ โดยบริษัทจะต้องให้ข้อมูลสร้างความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างๆ ก่อนที่จะได้รับอนุมัติให้มีการซื้อขายหุ้น
ในช่วงแรกของการเปิดเทรดจะยังไม่มีอะไรตื่นเต้น เพราะหุ้นส่วนใหญ่จะติด Lock-up ห้ามเจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เป็นทุน ขายหุ้นที่ได้รับจากการแปลงหนี้เป็นระยะเวลา 1 ปี แต่หลังจาก 6 เดือนหลังเปิดเทรด จะสามารถขายได้ครึ่งหนึ่ง จำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้อย่างอิสระ (Free Float) จะมีมากขึ้น เนื่องจากเจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เป็นทุนจะสามารถขายหุ้นได้ส่วนหนึ่งหลังจาก 6 เดือน และสามารถขายได้ทั้งหมดหลังจาก 1 ปี
นอกจากนี้ตอนนี้การบินไทยก็ไม่ได้มีปัญหาสภาวะทางการเงิน ยังคงมีกำไรสะสม ไม่มีปัญหากระทบการจ่ายหนี้ และการจ่ายปันผล แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น ส่วนหนี้พนักงานยืนยันว่าจ่ายไปหมดแล้ว หนี้บัตรโดยสารหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงหนี้เครื่องบิน การค้า หนี้หุ้นกู้ สถาบันการเงิน คาดว่าภายใน 2-3 ปีนี้จะจ่ายส่วนของหนี้การค้า และเช่าเครื่องหมด คงเหลือหนี้หุ้นกู้ กับสถาบัน ที่จะใช้เวลาจ่ายตามกำหนด 13 ปี”
ทั้งนี้สิ่งที่บริษัทฯ จะต้องดำเนินการต่อไป หลังจากออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ คือ ผลักดันการบินไทยให้มีกำไรดีอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจอยู่ที่อัตรากำไรของธุรกิจ (EBITDA Margin) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการทำกำไร ซึ่งตอนนี้การบินไทยเป็นสายการบินที่มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานสูงสุด 3 อันดับแรกของโลกติดต่อกันในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด จากการจัดทำข้อมูลโดย Airline Weekly ขอให้รักษาระดับสูงไว้ เพราะหากไม่สูงจะทำอะไรก็ยาก และตนยังมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถรักษา EBITDA ในระดับ 25,000 ล้านบาท
“บอร์ดการบินไทย มองว่าการรักษาให้บริษัทมีกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากถ้าหากกำไรไม่ดี จะไม่สามารถเอาเงินไปปรับปรุงเครื่องบินได้เครื่องบินก็จะไม่มีที่นั่งใหม่ การปรับปรุงความสะดวกสบายก็จะขาดความต่อเนื่อง เหมือนกับในช่วง 6-7 ปีก่อนที่จะเกิดโควิด ดังนั้นหากการบินไทยมีกำไรต่อเนื่อง ก็จะสามารถพัฒนาโปรดักซ์ให้แข่งขันกับโลกได้ ซึ่งในอดีตเรามีปัญหาเรื่องสถานะทางการเงิน ต่อมาเกิดโควิดเข้ามาซ้ำเติม ทำให้ที่ผ่านมาโปรดักซ์ไม่ได้มีการพัฒนา แต่วันนี้เมื่อสถานะการเงินดีขึ้น จึงเกิดการปรับปรุงโปรดักซ์ บริการต่างๆ”
รวมไปถึงการขยายฝูงบินรวมเป็น 150 ลำ ภายในปี 2576 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน โดยกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 787 จำนวน 45 ลำ ที่จะทยอยรับมอบในปี 2570 ดังนั้นระหว่างทางการบินไทยต้องจัดหาเครื่องบินเข้ามาดำเนินการเพิ่มเติม โดยได้เช่าเครื่องบินแอร์บัส A321 นีโอ จำนวน 32 ลำ เข้ามาดำเนินการ ที่จะทยอยรับมอบในปลายปีนี้ เพื่อช่วยเสริมโครงข่าย
โดยเครื่องบินลำตัวกว้างจะนำผู้โดยสารจากยุโรปและออสเตรเลียมายังกรุงเทพฯ แล้วต่อไปยังเมืองต่างๆ ในภูมิภาคด้วยเครื่องบินลำตัวแคบ A321neo ที่เข้ามาใหม่จะมีการปรับปรุงความสะดวกสบายอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่นั่งบิสิเนสคลาสจะเป็นแบบนอนราบได้ และทุกที่นั่งไม่ว่าจะเป็น Business Class หรือ Economy จะมีจอดูหนังเฉพาะที่นั่ง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารที่เดินทางต่อ
การบินไทยประเมินว่าจำนวนเครื่องบินปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งปลายปีที่แล้วมีเครื่องบินอยู่ที่ 79 ลำ ขณะนี้มี 77 ลำ เพราะมีเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER เกษียณอายุไป 2 ลำ แต่จะมีโบอิ้ง 787 เข้ามาอีก 1 ลำ แอร์บัส 330 ใช้แล้ว เข้ามาอีก 1 ลำ และแอร์บัส 321 นีโอ ก็ทยอยเข้ามาปลายปีนี้ เครื่องบินจึงเพิ่มขึ้นรวมเป็น 80 ลำในปีนี้ โดยเครื่องบินใหม่ที่เข้ามาประกอบด้วย Boeing 787-9 จำนวน 1 ลำ และ Airbus A321neo จำนวน 1 ลำ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเช่าดำเนินการ นอกจากนี้ยังจะมี Airbus A330 อีก 1 ลำ
การมีจำนวนฝูงบินในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปีนี้ผู้โดยสารแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่การบินไทยน่าจะบริหารจัดการ ทำให้น่าจะมีรายได้ในปีนี้ตามเป้า 1.8 แสนล้านบาท หรืออาจจะถึง 2 แสนล้านบาทก็เป็นไปได้
ส่วนปัจจัยภายนอกอย่างสงครามอิหร่าน เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง การบินไทยยังไม่ได้มีผลกระทบอะไรนอกเหนือความคาดหมาย แต่มีผลกระทบต่อเส้นทางบินยุโรปบ้างที่ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนเส้นทาง แต่เหตุการณ์ตอนนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไร ส่วนปัจจัยราคาน้ำมัน พบว่าลงมาตลอด แม้เหตุการณ์สงครามนี้ทำให้ราคาขึ้น แต่ต่ำกว่าที่การบินไทยคาดการณ์ไว้ จึงไม่กระทบกับธุรกิจ
ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาษีทรัมป์วันนี้ก็ยังไม่เห็นผลกระทบ นักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาเดินทางเช่นเดิมก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะการบินไทยไม่ได้พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก และยังพบว่าจีนมาใช้บริการเพื่อต่อเส้นทางบิน และเป็นนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเอฟไอที ไม่ใช่กรุ๊ป ส่วนกรณีที่กระทรวงคมนาคมจะฟื้นเส้นทางบินตรงไทย - สหรัฐ ขณะนี้การบินไทยไม่มีแผนจะกลับไปบิน เนื่องจากเครื่องบิน 150 ลำที่อยู่ในแผนธุรกิจ กำหนดไว้ตอนนี้เครื่องบินจะเอาไปเมืองเดิม เพิ่มความถี่ เป็นประโยชน์กับผู้โดยสารมากกว่า