จุฬาฯ จับมือการบินไทย ลงนามความร่วมมือส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อสร้างคุณค่าให้องค์กรและสังคมจัดเสวนา President’s Distinguished Speaker ครั้งที่ 4 หัวข้อ “From Turbulence to Triumph: การบินไทย จากฟื้นฟูสู่พุ่งทะยาน”
จากสายการบินแห่งชาติที่เคยเผชิญวิกฤตขาดทุนสะสมมหาศาล และต้องยื่นขอฟื้นฟูกิจการในปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 และเสียงเรียกร้องให้ปิดกิจการ การบินไทยได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการพลิกฟื้นธุรกิจขาดทุนสู่กำไร และเตรียมกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จของการพลิกฟื้นครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยย้ำว่าปัญหาของการบินไทยไม่ได้เกิดจากวิกฤตโควิด-19 เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลพวงจากการขาดทุนสะสมมาตั้งแต่ปี 2556-2562 กว่า 3 หมื่นล้านบาท และโควิด-19 เป็นเพียง "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำให้สถานการณ์ไม่อาจดำเนินต่อไปได้
วิกฤตซ้อนวิกฤต ต้นเหตุที่สั่งสม การบินไทยประสบปัญหาหลายประการที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงแค่การจัดซื้อเครื่องบิน A340 จำนวน 10 ลำเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ได้แก่ โครงสร้างองค์กรที่ใหญ่และซับซ้อ การมีพนักงานจำนวนมากถึง 35,000 คนในอดีต ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมถึงค่าบำรุงรักษาที่สูงเกินไป
การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ในอดีต การบินไทยแทบไม่มีคู่แข่ง โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-Cost Airline) แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล พร้อมเครื่องบินที่หลากหลายรูปแบบ ทำให้การบินไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด ทั้งจากสายการบินประจำภูมิภาค สายการบินต้นทุนต่ำ และสายการบินจากตะวันออกกลางที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด และการลงทุนที่ไม่เหมาะสม การจัดซื้อเครื่องบินบางประเภทที่ไม่ตอบโจทย์ตลาด ส่งผลให้ในปี 2562 มีเครื่องบินจอดนิ่งถึง 103 ลำ และ 13 ลำรอการขายแต่ขายไม่ได้
ปัจจัยเหล่านี้ บวกกับวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการบิน ทำให้เงินสดในบัญชีของการบินไทยที่มีอยู่ 2.3 หมื่นล้านบาท กำลังจะหมดลง บีบให้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในปี 2563 ท่ามกลางความเห็นจากหลายภาคส่วนที่ต้องการให้การบินไทยล้มละลายไปเลย
ทั้งนี้เริ่มเข้าสู่การทำแผนฟื้นฟูกิจการ การผ่าตัดใหญ่เพื่อความอยู่รอด การทำแผนปรับโครงสร้างองค์กรและการฟื้นฟูเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อศาลล้มละลายกลางให้ความเห็นชอบในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 การบินไทยได้เริ่มดำเนินมาตรการสำคัญหลายประการ
ลดค่าใช้จ่ายบุคลากรนี่คือมาตรการที่สำคัญที่สุด โดยมีการลดเงินเดือนและเปิดโครงการให้พนักงานลาออกด้วยความสมัครใจ ทำให้จำนวนพนักงานลดลงกว่า 50% จาก 35,000 คน เหลือ 15,000 คน (และปัจจุบันอยู่ที่ 22,000 คน) ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายพนักงานลดลงอย่างมหาศาลจาก 2.4 หมื่นล้านบาท เหลือเพียง 700 ล้านบาทต่อเดือน ปัจจุบันค่าใช้จ่ายพนักงานอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 23% ของรายจ่ายรวม ซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่าสายการบินทั่วโลก
ขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น การบินไทยได้ดำเนินการขายเครื่องบินที่จอดนิ่ง ที่ดิน และอาคารที่ไม่จำเป็น ทำให้ได้เงินสดเข้ามา 12,561 ล้านบาท ระดมเงินสดฉุกเฉิน ในช่วงวิกฤต มีการระดมเงินสดจากช่องทางที่สร้างสรรค์และรวดเร็ว เช่น การขายปาท่องโก๋, การประมูลเก้าอี้เครื่องบิน, การจำหน่ายสินค้า และการขายตั๋วล่วงหน้าซึ่งสามารถนำเงินสดเข้ามาเกือบ 800 ล้านบาท ปรับโครงสร้างฝูงบิน ลดจำนวนเครื่องบินลงจาก 103 ลำ เหลือ 77 ลำ เพื่อลดประเภทเครื่องบินและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และเจรจาสัญญาเช่าเครื่องบิน ในช่วงโควิด-19 มีการเจรจากับเจ้าของเครื่องบินเช่าเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายค่าเช่าจากอัตราคงที่เป็นรายชั่วโมงบินตามจำนวนการบินจริง ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินได้อย่างมหาศาล ด้วยมาตรการเหล่านี้ การบินไทยสามารถประหยัดเงินได้รวมกว่า 46,000 ล้านบาทในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างหนัก
ทะยานสู่เส้นทางใหม่ ฟื้นฟูและขยายกิจการ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การบินไทยเริ่มดำเนินการขยายกิจการเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเพิ่มฝูงบิน ในปี 2566 และ 2567 การบินไทยได้เพิ่มเครื่องบินรุ่นยอดนิยมอย่าง Airbus A350-900, A330-300 และ Boeing 787-9 โดยเน้นการจัดหาเครื่องบินใช้แล้วจากสายการบินอื่นที่ประสบปัญหาทางการเงิน เช่น สายการบินจีน ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณได้อย่างมาก ปัจจุบันมีฝูงบิน 77 ลำ และวางแผนเพิ่มเป็น 80 ลำภายในสิ้นปี 2568 โดยตั้งเป้า 150 ลำภายในปี 2576 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและขยายเส้นทางการบิน
การบินไทยมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในจุดสำคัญๆ จาก 12% เป็น 22% พร้อมทั้งมีแผนชำระหนี้คืนกว่า 93,776 ล้านบาท ระหว่างปี 2568-2579 และมีการแปลงหนี้เป็นทุน 14.5% เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งแม้ในปี 2566 จะยังคงมีผลขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้บางส่วน แต่การบินไทยมีเงินสดในมือสูงถึง 128,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง และกำลังรอศาลยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูเพื่อให้กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ดังเดิม
“เรามองว่าในอนาคต เราต้องทำทุกทางให้การบินไทยไม่กลับไปเป็นแบบเดิม ที่ผ่านมา 5 ปี เหมือนบทพิสูจน์ถึงความสำคัญของการตัดสินใจที่เด็ดขาด การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับและยืดหยุ่น การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต จะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้การบินไทยกลับไปสู่ปัญหาเดิม และเป็นรากฐานที่มั่นคงในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายปิยสวัสดิ์ กล่าวเสริม
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การบินไทยขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการแล้ว หลังจากได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด ทั้งการมีวินัยในการชำระหนี้โดยไม่ผิดกำหนดนัดชำระ มุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการมากกว่า 20,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขการออกจากแผนฟื้นฟูฯ
นายปิยสวัสดิ์ เปิดเผยว่า วันที่ 4 มิ.ย. นี้นัดพิจารณาของศาลล้มละลาย โดยคาดว่า การบินไทยน่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ จากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดการบินไทย) ชุดใหม่ 11 คน เลือกประธานกรรมการ และแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบ หลังจากนั้นก็จะมีเข้าสู่ขั้นตอนการกลับเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป ตามข้อกำหนดของกลต. เพื่อกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะกลับมาซื้อขายหุ้นได้ในเดือนกรกฏาคมนี้
นอกจากนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดพิธีลงนามความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อสร้างคุณค่าให้องค์กรและสังคม ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับองค์กร ประเทศ และสากล
การลงนามความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย การพัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี เพื่อสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและสังคม อีกทั้งเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต ยกระดับทักษะของบุคลากร นักศึกษา และประชาชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น