วันนี้ (วันที่ 16 มิถุนายน 2568) เวลา 09.00 น. ศาลล้มละลายกลางนัดพิจารณาคำร้องการบินไทยขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ศาลล้มละลายกลาง ได้นัดพิจารณาคำร้องของการบินไทย หลังจากได้ยื่นคำร้อง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการไปเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
หลังจากศาลมีคำสั่งให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟู
จากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดการบินไทย) ชุดใหม่ 11 คน เพื่อเลือกประธานกรรมการ และแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบ หลังจากนั้นก็จะมีเข้าสู่ขั้นตอนการกลับเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป ตามข้อกำหนดของกลต. เพื่อกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะกลับมาซื้อขายหุ้นได้ในเดือนกรกฏาคมนี้
ปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้วที่การบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ อีกไม่นานศาลก็น่าจะอนุมัติให้ออกจากแผน และหลังจากนั้นองค์กรจะกลับไปทำธุรกิจเหมือนเดิม แต่เข้มแข็งหลังผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาแล้ว ซึ่งผลของการเดินหน้าฟื้นฟูกิจการ ความร่วมมือของทุกคนในองค์กรที่ทำให้การบินไทยลดค่าใช้จ่าย และหารายได้มากขึ้น
ทำให้ขณะนี้การบินไทยมีเงินสดในมือสะสมอยู่กว่า 1.28 แสนล้านบาท จากก่อนเข้าฟื้นฟูเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่องสะสมถึง 6.6 หมื่นล้านบาท
ด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าการยื่นคำร้องขอเลิกแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลฯ เป็นไปตามการบรรลุผลในการดำเนินการสำเร็จครบทุกข้อ ซึ่งมีรายละเอียดของการดำเนินการสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
ประการที่ 1 จดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุนตามที่กำหนดในข้อ 5.6 ของแผนฟื้นฟูกิจการ
ประการที่ 2 ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด บริษัทฯ ยืนยันว่าตั้งแต่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยไม่เกิดเหตุผิดนัดใด
ประการที่ 3 บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดสำรองตามสัญญาเช่าเครื่องบิน ในช่วง 12 เดือนก่อนที่จะยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวก