KEY
POINTS
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ประเมินว่าสถานการณ์ปะทะรอบใหม่อาจยืดเยื้อนานหลายเดือน แม้ไทยจะอดทนและพยายามใช้สันติวิธีมาโดยตลอด แต่กลับถูกลักลอบโจมตีและยั่วยุอย่างไม่เป็นธรรม
โดยมองว่ายุทธศาสตร์ที่ไทยจำเป็นต้องใช้ในระยะต่อไปคือการมุ่งเป้ากดดันทางทหารให้ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถตอบโต้ได้ต่อเนื่อง เพื่อบีบให้ยอมยุติความรุนแรงและเปิดทางไปสู่การเจรจาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งต้องมีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศของทั้งสองฝ่าย เขาย้ำว่าประชาชนไทยไม่ประสงค์เห็นความสูญเสียและหวังเพียงให้เหตุการณ์ยุติเพื่อความสงบสุขโดยเร็วที่สุด
ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้หยุดอยู่เพียงมิติความมั่นคง แต่ยังทำให้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันสูงขึ้น นายแสงชัยระบุว่า GDP ไตรมาสสุดท้ายของปีมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 1% และคาดว่า GDP ปีหน้าอาจขยายตัวต่ำกว่าที่ยังไม่สูงนักในปีนี้ ขณะที่การเติบโตของไทยในช่วงปี 2023 ถึงไตรมาส 3 ปี 2025 อยู่ในระดับ 1.2–3.2% ซึ่งต่ำกว่าประเทศในอาเซียนแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ สะท้อนจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ยังต้องการการปรับตัวครั้งใหญ่
นายแสงชัยฉายภาพให้ภาพรวมว่าความท้าทายสำคัญด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้ไทยต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูพื้นที่ชายแดนและดูแลผู้ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันก็ต้องใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และแสวงหาตลาดใหม่แทนการพึ่งพาการค้าชายแดนกับกัมพูชา การปรับตัวของโครงสร้างแรงงานต่างชาติและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพของผู้ประกอบการไทยเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา
ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศยังต้องเผชิญผลกระทบจากมหาอุทกภัยภาคใต้ที่สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหนัก การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน การฟื้นสภาพเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยว ตลอดจนการทบทวนยุทธศาสตร์ป้องกันภัยพิบัติอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งที่ไม่อาจรอได้อีกต่อไป ภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซากกำลังกัดกินชีวิตประชาชนและผลักให้หลายครอบครัวจมอยู่ในวังวนหนี้ที่ยากจะแก้ไข
สำหรับเศรษฐกิจฐานราก นายแสงชัยย้ำความจำเป็นของการผลักดันมาตรการแก้หนี้ยั่งยืน การปลดล็อกการเข้าถึงแหล่งทุน และการเสริมขีดความสามารถผู้ประกอบการและแรงงานในการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง การผลักดันแพลตฟอร์มท่องเที่ยวไทยเพื่อสร้างการพึ่งพาการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น การสร้างระบบพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น และการเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัลและผู้ประกอบการรุ่นใหม่เป็นส่วนสำคัญของการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว
ในเวทีการค้าโลก ไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือสงครามการค้ารอบใหม่ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจผ่านแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่ไปกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น ยกระดับเอสเอ็มอีสู่ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และใช้ประโยชน์จาก FTA เพื่อขยายตลาดให้ได้สูงสุด พร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด การบริหารจัดการน้ำ และโลจิสติกส์ให้รองรับการลงทุนยุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ยังให้ความสำคัญกับปัญหา “ศึกใน” ซึ่งหมายถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ทุนเทา ธุรกิจผิดกฎหมาย เศรษฐกิจนอกระบบ การค้ามนุษย์และยาเสพติด ซึ่งล้วนบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง ปัญหาเหล่านี้เป็นเสมือนมะเร็งร้ายที่ต้องเร่งกำจัด หากประเทศไทยต้องการยืนหยัดอย่างแข็งแรงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก
ในท้ายที่สุด นายแสงชัยเน้นว่า คนไทยและผู้ประกอบการไทยล้วนไม่ต้องการเห็น “จุดจบ” ที่สร้างความสูญเสีย แต่ต้องการเห็น “จุดที่พบกัน” อย่างจริงใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและธรรมาภิบาล เขาเตือนว่าไม่ควรปล่อยให้ผู้นำที่ไร้มนุษยธรรมใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองและสร้างความพังพินาศให้ทั้งสองประเทศ พร้อมส่งกำลังใจแก่ทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องผืนดิน น่านน้ำ และน่านฟ้าของประเทศ
โดยทิ้งท้ายด้วยประโยคที่สะท้อนภาพการต่อสู้ในบริบทที่ไม่เท่าเทียมว่า “เกมส์ไหนไม่ยุติธรรม ถ้าจำเป็นต้องทำตามกติกา ก็ต้องเดินพลิกเกมส์กลยุทธ์ที่เหนือกว่า” เพื่อให้ประเทศไทยเดินต่ออย่างมั่นคงและนำความสงบกลับคืนสู่ชายแดนโดยเร็วที่สุด