กระแส Home Cooking มาแรง 'ไมย์เออร์' ลุยเปิดสินค้าใหม่เจาะตลาดแมส

21 พ.ย. 2568 | 09:40 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ย. 2568 | 10:23 น.

เศรษฐกิจผันผวน หนุนคนไทยทำอาหารเองมากขึ้น 'ไมย์เออร์' ลุยเปิดสินค้าใหม่ ตอบโจทย์สายสุขภาพหวังดันยอดขายโต 25% ในปี 69

KEY

POINTS

  • ไมย์เออร์ใช้โอกาสจากกระแส Home Cooking และความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคที่หันมานิยมเครื่องครัวปลอดสารเคลือบ
  • บริษัทเปิดตัวแบรนด์ใหม่ "Prestige" คอลเลกชันเครื่องครัวสเตนเลสสตีล เพื่อเจาะตลาดกลุ่ม Mass Market เป็นครั้งแรกในไทย
  • แบรนด์ Prestige ถูกวางตำแหน่งเป็น "Premium Mass" ที่มีราคาเข้าถึงง่ายกว่าแบรนด์หลัก ตั้งเป้ายอดขาย 100-150 ล้านบาทภายในปี 2569

นายโจเซฟ โล ผู้จัดการทั่วไป และผู้อำนวยการ บริษัท ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด กล่าวว่า ในปี2568 ภาพรวมตลาดเครื่องครัวในประเทศไทย (เฉพาะหม้อและกระทะ ไม่รวมเตาหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า) ในกลุ่ม Mass Market มีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี จนถึงปี พ.ศ. 2570

หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเครื่องครัว “ปลอดสารเคลือบ” หรือ No Coating Cookware เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่ม สเตนเลสสตีล (Stainless Steel) และ เครื่องครัวเซรามิก (Ceramic Cookware)

ซึ่งถูกมองว่าปลอดภัยกว่าและเป็นมิตรต่อสุขภาพในระยะยาว “ผู้บริโภคเริ่มลดการพึ่งพาอาหารสำเร็จรูป และหันมาทำอาหารเองที่บ้านมากขึ้น เทรนด์ health conscious จึงมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเครื่องครัวโดยตรง” 

อีกประเด็นที่บริษัทจับตาอย่างใกล้ชิดคือแผนการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% ในปี พ.ศ. 2571 ซึ่งในมุมมองคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องครัวซึ่งถือเป็นของใช้จำเป็นในครัวเรือน

“ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นทันที 3% จากราคาสินค้า และในภาวะเศรษฐกิจที่ยังโตได้เพียงราว 1% กว่า การปรับขึ้น VAT ในช่วงเวลานี้จึง ‘ไม่สมเหตุสมผล’” 

นายโจเซฟ โล

แม้บริษัทจะพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด แต่ความไม่แน่นอนของต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงในอนาคต ทำให้ยากต่อการประเมินผลกระทบที่แท้จริง ทั้งนี้หากเศรษฐกิจไทยแข็งแรงและเติบโตมากขึ้นในอนาคต การพิจารณาปรับขึ้น VAT ก็จะเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้มากกว่าในเวลาที่เหมาะสม

อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญของตลาดคือการแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน ซึ่งมีพฤติกรรม “ทุ่มตลาด” เข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce

ที่ผ่านมาสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท อาจไม่ต้องเสียอากรและ VAT ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อจากจีนได้ในราคาที่ต่ำมาก อย่างไรก็ตามตั้งแต่ เดือนมกราคม พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้ต้องเสียอากรนำเข้า 10% และ VAT ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อผู้ผลิตในประเทศ

แต่ถึงอย่างนั้นผู้ผลิตไทยยังต้องเผชิญความไม่เป็นธรรม เนื่องจากสินค้าภายในประเทศต้องผ่านมาตรฐาน มอก. (TISI) ซึ่งมีต้นทุนในการขออนุญาตและตรวจสอบ ขณะที่สินค้านำเข้าบางส่วนยังสามารถ “หลุดเข้ามา” โดยไม่ผ่านกระบวนการเดียวกันยิ่งไปกว่านั้น ผู้ผลิตไทยยังต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบในการผลิต ทำให้ต้นทุนสุดท้ายยังคงสูงกว่าสินค้านำเข้าบางประเภท

กระแส Home Cooking มาแรง 'ไมย์เออร์' ลุยเปิดสินค้าใหม่เจาะตลาดแมส

Meyer Group เน้นส่งออกกว่า 97%

นายโจเซฟ โล กล่าวต่อว่า MEYER Group ถือเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องครัวระดับโลก TOP 2 ซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 35 ปี พัฒนานวัตกรรมเครื่องครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการบนพื้นที่กว่า 103 ไร่ ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 7,000 ล้านบาท

ภายใน บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ได้มีการลงทุนในที่ดิน อาคาร เครื่องจักร และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้มากกว่า 120,000 ชิ้นต่อวัน กว่า 97% เป็นการส่งออก ไปยังตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก โคลอมเบีย สหราชอาณาจักร ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง

ในปี 2567 บริษัทสร้างรายได้รวมกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศไทย มีการจัดจำหน่ายเครื่องครัวหลายแบรนด์ในเครือ อาทิ MEYER, CIRCULON, Essteele, ANOLON และ Prestige

เปิดตัว Prestige “Made to Last” เจาะ Mass Market ครั้งแรก

ล่าสุด MEYER เดินเกมรุกด้วยการเปิดตัวแบรนด์ Prestige คอลเลกชัน Made to Last Stainless Steel เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม Mass Market เป็นครั้งแรกในไทย ภายใต้แนวคิด “Everything for Your Kitchen : ครบทุกสิ่งเพื่อห้องครัวของคุณ”

Prestige ถูกวางตำแหน่งเป็น “Premium Mass” ราคาต่ำกว่า Meyer ราว 20% และสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปประมาณ 10% มีราคาเริ่มต้นระดับหลักร้อย พร้อมจำหน่ายทั้ง Retail และ E-commerce

กระแส Home Cooking มาแรง 'ไมย์เออร์' ลุยเปิดสินค้าใหม่เจาะตลาดแมส

บริษัทตั้งเป้าให้แบรนด์ Prestige มียอดขาย 100–150 ล้านบาท และผลักดันยอดขายรวมโต 25% ภายในปี 2569 โดยมี 4 กลยุทธ์หลักขยายฐานตลาดไทย

  • Branding & Communication สร้างความเชื่อมั่นผ่านสื่อหลักและอินฟลูเอนเซอร์
  • Product & Consumer Insight ใช้ข้อมูลเชิงลึกพัฒนาสินค้า
  • Channel & Accessibility เชื่อมทุกช่องทางแบบ Omnichannel
  • Collaboration & Campaign ทำแคมเปญร่วมพันธมิตรค้าปลีกและออนไลน์

ขณะที่คู่แข่งในตลาด แบรนด์ Prestige ต้องเผชิญการแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่น (Local brands) และในกลุ่ม Non-stick นอกจากการขยายตลาด ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าลงทุนด้าน วิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่องรวมถึงทำ Consumer Market Insight (CMI) เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเชิงลึก และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลง

ในอนาคต Meyer Group ยังมีแผนลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงหมวดหมู่สินค้าใหม่ (New Categories) ที่อาจไม่จำกัดอยู่เพียงเครื่องครัวเท่านั้น