ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก 5 หมื่นล้านแข่งดุ 'ไทยสเตนเลสสตีล' แตกแบรนด์ใหม่ในรอบ 55 ปี

18 ก.ย. 2568 | 10:34 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2568 | 12:58 น.

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก 5 หมื่นล้าน แข่งดุ 'ไทยสเตนเลสสตีล' แตกแบรนด์ใหม่ Seagull Electric ในรอบ 55 ปี ชูกลยุทธ์ออฟไลน์-ออนไลน์ อัดโปรโมท ดันยอดขาย 2,000 ล้านบาทสิ้นปี

KEY

POINTS

  • ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กมีมูลค่า 5 หมื่นล้านบาทและมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจากแบรนด์จีนจำนวนมาก
  • บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ "Seagull Electric" เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี เพื่อรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับผู้บริโภคโดยตรง (B2C)
  • แบรนด์ใหม่ชูจุดเด่นด้านคุณภาพ ดีไซน์ และความน่าเชื่อถือ เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่อายุ 20-40 ปี ที่มองหาสินค้าพรีเมียมที่เข้าถึงได้
  • ตั้งเป้ายอดขายสำหรับแบรนด์ใหม่ไว้ที่ 200 ล้านบาทในปี 2569 และ 500 ล้านบาทในปี 2571 ผ่านช่องทางออนไลน์และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กมีมูลค่า 5 หมื่นล้านบาทเติบโต 2.5-5% ซึ่งสอดคลองกับข้อมูล นายอรุณ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กในปัจจุบันยังเติบโต แม้จะมีการขยายตัวชะลอลงในช่วงเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

ผู้บริโภคมีแนวโน้มระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกสินค้าที่มีคุณภาพและบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ “แม้ว่าตลาดจะเติบโต แต่ไม่มากนัก เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นปัจจัยจำกัดสำคัญ”

ปัจจุบันมีแบรนด์จีนเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก ซึ่งบางแบรนด์ยังขาดความน่าเชื่อถือในด้านคุณภาพและการรับประกัน ทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวลต่อสินค้านำเข้า โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์

 

สำหรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ดีไซน์สวยงาม และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมองเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสินค้าแฟชั่นและของตกแต่งบ้านมากขึ้น แตกต่างจากอดีตที่มองเพียงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก

นายอรุณ กล่าวต่อว่า บริษัทได้รุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างจริงจังในปี 2566 หลังจากที่ในอดีตมีสินค้ากลุ่มนี้อยู่เพียง 1–2 รายการและเน้นตลาด B2B เป็นหลัก โดยการเข้าสู่ตลาด B2C ครั้งนี้ถือเป็นการวางแผนระยะยาวที่บริษัทเตรียมมาก่อนหลายปี

นายอรุณ เรืองจรุงพงศ์ บริษัทมองเห็น โอกาสทางการตลาดจากความต้องการสินค้าที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้ ในขณะที่ตลาดเต็มไปด้วยแบรนด์จีนที่คุณภาพไม่สม่ำเสมอแบรนด์ "Seagull Electric" ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัท มีความเชื่อมั่นและมาตรฐานมายาวนานกว่า 55 ปี จึงถูกวางตำแหน่งเป็นสินค้าพรีเมียมที่เข้าถึงได้

 

แผนการเติบโตและเป้าหมายธุรกิจ

-ปี 2569 คาดการณ์ยอดขาย 200 ล้านบาท

-ปี 2571 คาดการณ์ยอดขาย 500 ล้านบาท

โดยสินค้าจะวางจำหน่ายทั้งออนไลน์ผ่านทุกแพลตฟอร์ม และออฟไลน์ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น เซ็นทรัล โรบินสัน และโฮมโปร ซึ่งเราหวังเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ อายุ 20–40 ปี ที่มองหาสินค้าดีไซน์สวยงาม ฟังก์ชันครบครัน และเน้นคุณภาพมากกว่าราคา

ด้วยกลยุทธ์เน้นคุณภาพ การรับประกัน และดีไซน์ทันสมัย บริษัทตั้งเป้าสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและขยายส่วนแบ่งตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก แม้เผชิญคู่แข่งจากแบรนด์จีนจำนวนมาก แต่เชื่อมั่นว่าความน่าเชื่อถือและมาตรฐานที่ยาวนานจะทำให้บริษัทแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ภาพรวมธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าขอบริษัท

ภาพรวมตลาดเครื่องครัวโดยรวมจะทรงตัวและแทบไม่มีการเติบโตตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แต่บริษัทยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

ตลาดเครื่องครัวเดิม เช่น หม้อ กระทะ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและความลดลงของโครงการอสังหาริมทรัพย์และร้านอาหารใหม่ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่ใช่ของจำเป็นเร่งด่วน ส่งผลให้ยอดขายลดลงประมาณ 20% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก 5 หมื่นล้านแข่งดุ 'ไทยสเตนเลสสตีล' แตกแบรนด์ใหม่ในรอบ 55 ปี อย่างไรก็ตาม ปีนี้คาดว่ายอดขายจะกลับมาทรงตัวและเติบโตเกือบ 20% มาจาก การออกสินค้าใหม่ เน้นดีไซน์ ความสะดวกสบาย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยโดยเฉพาะ (เช่น หม้อไฟฟ้าที่ทำสุกี้ได้)

บริษัทตั้งเป้ายอดขายเครื่องครัวในปีนี้ไว้ 2,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ในกลุ่มสินค้าประเภทเดียวกัน ปัจจุบันมีโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี บนพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งยังไม่เต็มกำลังการผลิต บริษัทลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่อย่างต่อเนื่องทุกปี และปีนี้ได้เพิ่มหุ่นยนต์อีก 100 ตัว เพื่อยกระดับความแม่นยำและประสิทธิภาพการผลิต

กลยุทธ์และแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทมุ่งกลยุทธ์เพิ่มโปรโมชั่นและชุดสินค้าพิเศษ โดยเน้นการออกแบบสินค้าที่เป็น “แฟชั่น” มากขึ้น และจัดโปรโมชั่นของแถมมากกว่าการลดราคาเพื่อรักษาภาพลักษณ์แบรนด์

นอกจากนี้หวังให้รัฐบาลชุดใหม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยให้เงินหมุนเวียนถึงประชาชนโดยตรง เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” หรือมาตรการลดหย่อนภาษี “Easy E-Receipt” ซึ่งเคยช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัทได้ถึง 10-20% ในอดีต

ส่วนช่วงปลายปี มองว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาลจับจ่ายซื้อของขวัญ บริษัทจึงวางแผนจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค โดยไม่ลดทอนคุณภาพและดีไซน์ของสินค้า