KEY
POINTS
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการที่กังวลต่อ “ความไม่พร้อมของกฎหมายลูก” โดยเฉพาะประเด็นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งอาจกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจในช่วงปลายปีนี้เวลาที่ควรเป็น “ฤดูทองของยอดขาย” กลับเต็มไปด้วยคำถามทางกฎหมาย
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟต์เบียร์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ พ.ร.บ. จะประกาศใช้แล้ว แต่การบังคับใช้จริงยังคงรอ “กฎหมายลูก” ที่ยังไม่แล้วเสร็จ และนี่คือจุดอ่อนสำคัญที่สุดของระบบกฎหมายไทย ขณะเดียวกันจะเห็นว่า ประเด็นที่รัฐบาลเคยประกาศว่าจะทบทวน เช่น การขายในช่วงเวลา 14.00–17.00 น. และการจำหน่ายใกล้วัดหรือสถานศึกษา (โซนนิ่ง) ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งที่ภาคธุรกิจได้ยื่นข้อเสนอไปตั้งแต่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมาย
“พ.ร.บ. ประกาศใช้แล้ว แต่ระเบียบลูกที่จำเป็นต่อการบังคับใช้จริงยังไม่ออกเลยโดยเฉพาะเรื่องการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือแม้แต่เวลาห้ามขายที่เคยพูดกันว่าจะปรับใหม่ ก็ยังใช้กฎเก่าทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถือเป็นความคืบหน้าเชิงโครงสร้างที่ดีในร่างกฎหมายฉบับนี้คือ การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ผ่านการแต่งตั้งผู้ประกอบการเข้าไปเป็น “อนุกรรมการ” ภายใต้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“เดิมทีคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหญ่มีแต่ข้าราชการกับภาคสาธารณสุข แต่ไม่มีเสียงจากฝั่งผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการเลย ทำให้กฎหมายที่ออกมาขาดมุมมองทางธุรกิจ ตอนนี้ในฉบับใหม่ได้เพิ่มข้อกำหนดให้ต้องมีตัวแทนจากผู้ประกอบการและนักวิชาการด้านการผลิตเข้ามาร่วมเป็นอนุกรรมการ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่เป็นจริงมากขึ้น”
นางสาวประภาวี กล่าวอีกว่า การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการในระดับอนุกรรมการ ถือเป็น “พัฒนาการสำคัญ” เพราะเปิดทางให้ผู้มีประสบการณ์จริงในภาคธุรกิจได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับฝ่ายรัฐโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดความเข้าใจผิดและปัญหาการตีความคลาดเคลื่อนระหว่างสองฝ่าย ถือเป็นครั้งแรกที่เสียงของผู้ประกอบการถูกบันทึกอย่างเป็นทางการในระบบการร่างกฎหมาย เราหวังว่าการมีที่นั่งในคณะทำงานจะไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ แต่จะเป็นกลไกจริงที่ทำให้กฎหมายสมดุลขึ้น
หนึ่งในประเด็นที่ภาคเอกชนกังวลมากที่สุดคือความแตกต่างระหว่างคำว่า “โฆษณา” และ “ประชาสัมพันธ์” ซึ่งใน พ.ร.บ. ฉบับใหม่เปิดให้ทำประชาสัมพันธ์ได้ แต่ยังห้าม “ชักจูง” หรือ “เชิญชวนให้ดื่ม”
“คำสองคำนี้ใกล้กันมาก แต่ผลทางกฎหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง หากยังไม่มีระเบียบลูกที่อธิบายชัดเจน เจ้าหน้าที่อาจตีความไม่เหมือนกัน บางครั้งผู้ประกอบการแค่โพสต์รูปสินค้าก็อาจถูกปรับ ทั้งที่เจตนาเพียงให้ข้อมูล การนิยามเส้นแบ่งระหว่างสองคำนี้จึงจำเป็นต้องออกมาโดยเร็ว เพื่อให้เจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการเข้าใจตรงกัน ลดความเสี่ยงในการถูกดำเนินคดีโดยไม่ตั้งใจ”
ในด้านเศรษฐกิจภาพรวม นางสาวประภาวีสะท้อนว่า ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปีนี้ยังซบเซาหนัก แม้จะเข้าสู่ฤดูขายปลายปี แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนไม่มีคำว่า ‘ไฮซีซัน’ อีกแล้ว เพราะเศรษฐกิจโลกและไทยยังชะลอตัว สินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ยอดขายจึงนิ่งหรือลดลงกว่าปีก่อน แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่ก็ยังมียอดลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อรักษาธุรกิจให้อยู่รอด โดยเฉพาะกลุ่มคราฟต์เบียร์ที่มีต้นทุนสูงและต้องรับมือกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่ยังไม่ทันสมัย
ด้านนายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้ถือเป็น “ความพยายามที่ดี” ของภาครัฐ แต่กฎหมายลูกที่ยังไม่แล้วเสร็จ กลับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
“กฎหมายฉบับใหม่นี้ใช้เวลาผลักดันกว่า 2–3 ปี ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ แต่ตอนนี้ผู้ประกอบการยังไม่รู้ว่ากฎลูกจะออกเมื่อไร ทำให้วางแผนธุรกิจไม่ได้”
หนึ่งในสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ใหม่คือ “มาตรา 32” ที่เปิดให้ประชาสัมพันธ์สินค้าได้ในบางรูปแบบ หลังจากก่อนหน้านี้ห้ามสื่อสารในทุกมิติ ถือเป็นการปลดล็อกเชิงสร้างสรรค์ เพราะผู้ประกอบการสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคได้ เช่น ที่มาของผลิตภัณฑ์หรือเรื่องราวของแบรนด์ แต่ต้องไม่สื่อในลักษณะเชิญชวนให้ดื่ม อย่างไรก็ดี นายกวีย้ำว่าหากไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ความตั้งใจดีนี้อาจย้อนกลับมาสร้างปัญหา เพราะเส้นแบ่งระหว่าง “การให้ข้อมูล” กับ “การโฆษณาแฝง” ยังคลุมเครือ
ขณะที่นายสรเทพ โรจน์พจนารัชประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทลประเทศไทย ให้ความเห็นว่า กฎหมายใหม่ควรมีเป้าหมายเพื่อ “สนับสนุนเศรษฐกิจ” มากกว่าการเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ “เวลาห้ามขายช่วง 14.00–17.00 น. หรือหลังตีหนึ่ง ถ้ามีนักท่องเที่ยวยังนั่งดื่มอยู่แม้เหลือครึ่งขวด เจ้าของร้านก็อาจถูกปรับ 1 หมื่นบาท แบบนี้กระทบเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว
ทั้งนี้ในปัจจุบันประเทศออสเตรเลีย ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตนให้ระวังกฎหมายดื่มแอลกอฮอล์ในไทย ซึ่งหากประเทศอื่นทำตาม จะกระทบต่อรายได้ท่องเที่ยวมหาศาล
“ผมไม่เข้าใจว่าคนที่เซ็นกฎหมายนี้ได้อ่านผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะเจตนาควบคุมคือสิ่งดี แต่ต้องไม่ทำลายโอกาสในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ”
ทั้งภาคธุรกิจเครื่องดื่มและผู้ประกอบการบริการต่างเห็นพ้องว่า สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการเร่งออกกฎหมายลูกให้เสร็จโดยเร็ว พร้อมเปิดเวทีให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมเสนอความคิดเห็น เพื่อให้กฎหมายใหม่สะท้อนทั้งมิติของสุขภาพและเศรษฐกิจ
พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ คือกฎหมายที่สะท้อนความพยายามของรัฐในการปรับสมดุลระหว่างการควบคุมสังคมกับการเปิดทางเศรษฐกิจ ทว่า “กฎหมายลูกที่ยังไม่มา” กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้ความตั้งใจดีต้องสะดุด หากรัฐบาลไม่เร่งคลี่คลายความไม่ชัดเจนนี้โดยเร็ว การปลดล็อกที่ควรเป็น “โอกาสใหม่” อาจกลับกลายเป็นตัวฉุดทำให้ธุรกิจชะงักไปก็เป็นได้