TABBA จี้รัฐทบทวนกม.ห้ามขาย–ห้ามดื่มช่วงบ่าย ชี้มาตรการไม่ลดการดื่มจริง

12 พ.ย. 2568 | 07:56 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2568 | 08:03 น.

สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทบทวนข้อกำหนดในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) โดยอ้างอิงผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งชี้ว่ามาตรการดังกล่าว “ไม่บรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข”

KEY

POINTS

  • สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนกฎหมายห้ามขายและห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น.
  • อ้างอิงผลการศึกษาของ TDRI ที่ชี้ว่ามาตรการดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพจริงในการลดปริมาณการดื่ม และยังผลักการซื้อขายออกนอกระบบ
  • ภาคเอกชนมองว่ากฎหมายนี้ล้าสมัย ขัดต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล และสร้างความเสียเปรียบให้ผู้ประกอบการที่ทำตามกฎหมาย
  • เสนอให้ภาครัฐยกเลิกข้อจำกัดด้านเวลา และหันไปมุ่งเน้นแก้ปัญหาที่ตรงจุด เช่น การขายให้เยาวชน และการเมาแล้วขับ

สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทบทวนข้อกำหนดในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่ยังคง “ห้ามขายและห้ามดื่ม” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น.

โดยอ้างอิงผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งชี้ว่ามาตรการดังกล่าว “ไม่บรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข” และอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

TABBA ระบุว่า แม้กฎหมายฉบับใหม่จะมีเจตนาป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเยาวชนและลดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ซึ่งภาคธุรกิจพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แต่การคงข้อห้ามขายช่วงบ่ายและเพิ่มมาตราใหม่ที่ “ห้ามบริโภคในช่วงเวลาห้ามขาย” กลับสวนทางกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล

TDRI ชี้ “ห้ามขาย 14.00–17.00 น.” ไม่ได้ผลจริง

รายงานการศึกษาของ TDRI ซึ่งสำรวจผู้บริโภค 1,370 ราย และผู้ประกอบการ 283 ราย พบว่า มาตรการห้ามขายในช่วง 14.00–17.00 น. ไม่สามารถลดปริมาณการดื่มได้จริง ปริมาณการบริโภคต่อหัวประชากรยังคงที่ ขณะที่ปริมาณการดื่มต่อผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 26 ลิตรต่อปี หรือประมาณ 5.4 แก้วมาตรฐานต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงกว่ามาตรฐานสากล

ทั้งนี้ ผู้บริโภคกว่า 22% ระบุว่ายังสามารถซื้อเครื่องดื่มในช่วงเวลาห้ามขายได้ และผู้ประกอบการถึง 39% ยอมรับว่าพบการจำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการสะท้อนว่ามาตรการนี้ “ผลักการซื้อขายออกนอกระบบ” ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี ขณะที่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายกลับเสียเปรียบทางธุรกิจ

เสียงสะท้อนภาคเอกชน กฎหมายล้าสมัย–สวนทางนโยบายรัฐ

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมค้าปลีกไทย (TRA) ให้ความเห็นว่า การปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการทุกระดับ พร้อมดึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระบบ “หากปลดล็อกเวลาขาย จะช่วยให้หน่วยงานรัฐทุ่มทรัพยากรไปจัดการปัญหาที่แท้จริง เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม”

TABBA จี้รัฐทบทวนกม.ห้ามขาย–ห้ามดื่มช่วงบ่าย ชี้มาตรการไม่ลดการดื่มจริง

ด้าน นายดำรงค์เกียรติ พินิจการ เลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ระบุว่า การห้ามขายช่วงบ่ายเป็นข้อกำหนดที่ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในยุคใหม่ “การปลดล็อกข้อจำกัดนี้ รวมถึงขยายเวลาจำหน่ายถึงตี 2 จะช่วยกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ดังเช่นนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ที่ทำให้รายได้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นกว่า 20–30%”

ทั้งนี้ TABBA ชี้ว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และท่องเที่ยว มีมูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี และเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการกว่า 312,000 แห่งทั่วประเทศ การคงมาตรการห้ามขายช่วงบ่ายจึงเป็นการจำกัดศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยตรง

TDRI เสนอทางออก: มุ่งเป้า “เยาวชน–เมาแล้วขับ”

TDRI ยังเสนอให้ภาครัฐมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดมากกว่า เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งพบว่ายังมีการละเมิดสูงถึง 30% ของร้านค้า และการเมาแล้วขับที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ 22% ของกรณีทั้งหมด โดยแนะให้ใช้ระบบ “หักคะแนนแบบขั้นบันได” เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนอิทธิพลของ “โฆษณาออนไลน์” ต่อเยาวชนมีเพียง 1.8% เทียบกับอิทธิพลจาก “เพื่อน” ที่มากถึง 35.5%

TABBA หนุนรัฐใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ปรับนโยบาย

สมาคม TABBA เรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ เร่งพิจารณาข้อมูลจาก TDRI เพื่อทบทวนข้อห้ามขายและบริโภคช่วงบ่าย โดยใช้อำนาจตามมาตรา 28 ของกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งเปิดช่องให้ “คณะกรรมการฯ” กำหนดเวลาได้อย่างยืดหยุ่น

TABBA ชี้ว่า หลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ และเยอรมนี ไม่มีข้อจำกัดเวลาขายช่วงบ่าย แต่สามารถควบคุมผลกระทบทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากประเทศไทยเลือกใช้แนวทางที่อิงข้อมูลจริง จะช่วยปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ภาครัฐ และสร้างสมดุลระหว่างการบริหารเศรษฐกิจและการคุ้มครองสังคมได้อย่างยั่งยืน