KEY
POINTS
สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งทบทวนข้อกำหนดในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ที่ยังคง “ห้ามขายและห้ามดื่ม” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น.
โดยอ้างอิงผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งชี้ว่ามาตรการดังกล่าว “ไม่บรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุข” และอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
TABBA ระบุว่า แม้กฎหมายฉบับใหม่จะมีเจตนาป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเยาวชนและลดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ซึ่งภาคธุรกิจพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แต่การคงข้อห้ามขายช่วงบ่ายและเพิ่มมาตราใหม่ที่ “ห้ามบริโภคในช่วงเวลาห้ามขาย” กลับสวนทางกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล
รายงานการศึกษาของ TDRI ซึ่งสำรวจผู้บริโภค 1,370 ราย และผู้ประกอบการ 283 ราย พบว่า มาตรการห้ามขายในช่วง 14.00–17.00 น. ไม่สามารถลดปริมาณการดื่มได้จริง ปริมาณการบริโภคต่อหัวประชากรยังคงที่ ขณะที่ปริมาณการดื่มต่อผู้บริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 26 ลิตรต่อปี หรือประมาณ 5.4 แก้วมาตรฐานต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงกว่ามาตรฐานสากล
ทั้งนี้ ผู้บริโภคกว่า 22% ระบุว่ายังสามารถซื้อเครื่องดื่มในช่วงเวลาห้ามขายได้ และผู้ประกอบการถึง 39% ยอมรับว่าพบการจำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการสะท้อนว่ามาตรการนี้ “ผลักการซื้อขายออกนอกระบบ” ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี ขณะที่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายกลับเสียเปรียบทางธุรกิจ
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมค้าปลีกไทย (TRA) ให้ความเห็นว่า การปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการทุกระดับ พร้อมดึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระบบ “หากปลดล็อกเวลาขาย จะช่วยให้หน่วยงานรัฐทุ่มทรัพยากรไปจัดการปัญหาที่แท้จริง เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม”
ด้าน นายดำรงค์เกียรติ พินิจการ เลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ระบุว่า การห้ามขายช่วงบ่ายเป็นข้อกำหนดที่ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในยุคใหม่ “การปลดล็อกข้อจำกัดนี้ รวมถึงขยายเวลาจำหน่ายถึงตี 2 จะช่วยกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ดังเช่นนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ที่ทำให้รายได้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นกว่า 20–30%”
ทั้งนี้ TABBA ชี้ว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และท่องเที่ยว มีมูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี และเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการกว่า 312,000 แห่งทั่วประเทศ การคงมาตรการห้ามขายช่วงบ่ายจึงเป็นการจำกัดศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยตรง
TDRI ยังเสนอให้ภาครัฐมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดมากกว่า เช่น การขายให้เยาวชน ซึ่งพบว่ายังมีการละเมิดสูงถึง 30% ของร้านค้า และการเมาแล้วขับที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ 22% ของกรณีทั้งหมด โดยแนะให้ใช้ระบบ “หักคะแนนแบบขั้นบันได” เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนอิทธิพลของ “โฆษณาออนไลน์” ต่อเยาวชนมีเพียง 1.8% เทียบกับอิทธิพลจาก “เพื่อน” ที่มากถึง 35.5%
สมาคม TABBA เรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่ เร่งพิจารณาข้อมูลจาก TDRI เพื่อทบทวนข้อห้ามขายและบริโภคช่วงบ่าย โดยใช้อำนาจตามมาตรา 28 ของกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งเปิดช่องให้ “คณะกรรมการฯ” กำหนดเวลาได้อย่างยืดหยุ่น
TABBA ชี้ว่า หลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ และเยอรมนี ไม่มีข้อจำกัดเวลาขายช่วงบ่าย แต่สามารถควบคุมผลกระทบทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากประเทศไทยเลือกใช้แนวทางที่อิงข้อมูลจริง จะช่วยปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ภาครัฐ และสร้างสมดุลระหว่างการบริหารเศรษฐกิจและการคุ้มครองสังคมได้อย่างยั่งยืน