KEY
POINTS
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงผลกระทบและทิศทางหลังรัฐบาลเปิดทางให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00–17.00 น. ภายใต้นโยบายทดลองใช้ 6 เดือนว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผล “เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ” ต่อธุรกิจร้านอาหารและภาคการท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มสถานบริการกลางคืน เนื่องจากผู้ประกอบการไนต์ไลฟ์ส่วนใหญ่เปิดให้บริการตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไปตามปกติอยู่แล้ว
นางสาวประภาวีกล่าวว่า ในมุมของผู้ประกอบการ สิ่งที่เห็นชัดคือ “ผู้ประกอบการกลางวันมีจำนวนมากกว่า” และเป็นกลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบโดยตรงจากกฎหมายห้ามขายในช่วงบ่าย เพราะไม่สามารถจำหน่ายได้แม้ลูกค้ามีความต้องการ ส่งผลให้ร้านอาหารจำนวนมากต้องหลีกเลี่ยงการขายแอลกอฮอล์ในเวลากลางวัน แม้ไม่ใช่ร้านดื่มแบบสถานบันเทิงก็ตาม
การปลดล็อกครั้งนี้จึงช่วยให้ร้านอาหารที่เปิดบริการตั้งแต่กลางวัน “ขายได้อย่างถูกต้อง” และลดความกังวลเรื่องการถูกจับหรือทำผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งหลายรายเคยประสบปัญหาถูกห้ามซื้อหรือไม่เข้าใจข้อจำกัดของกฎหมายไทยก่อนหน้านี้
นางสาวประภาวีระบุว่า ผลดีที่เกิดขึ้นจะเห็นชัดในช่วงเทศกาลปลายปี เนื่องจากเป็นช่วงที่บรรยากาศการเฉลิมฉลองคึกคักอยู่แล้ว การที่ร้านค้าสามารถจำหน่ายในช่วงบ่ายได้ จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกและยอดใช้จ่าย รวมถึงเปิดทางให้ร้านบางประเภทพิจารณาขยายเวลาเปิดทำการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น แต่ยังต้องบริหารต้นทุนแรงงานและต้นทุนการเปิดร้านเพิ่มเติมตามความเหมาะสมของแต่ละธุรกิจ
นางสาวประภาวีกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้กฎหมายฉบับใหม่จะอนุญาตให้นั่งดื่มได้ถึง 01.00 น. และขายได้ถึงเที่ยงคืน แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่ได้ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เนื่องจาก “จำนวนผู้ดื่มไม่ได้เพิ่มขึ้นตามชั่วโมงขาย” อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการมีตัวเลือกมากขึ้น เช่น การทดลองเปิดเร็วขึ้นในเดือนธันวาคม หรือการปรับเวลาเปิด–ปิดร้านให้เหมาะกับลูกค้าหลักของตน
สำหรับธุรกิจคราฟต์เบียร์รายย่อย เธอมองว่าเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ชัดเจน เพราะสินค้ามีความเหมาะสมกับการบริโภคในมื้ออาหารระหว่างวัน ไม่จำเป็นต้องรอถึงช่วงกลางคืนเหมือนร้านบาร์ทั่วไป การปลดล็อกจึงเปิดโอกาสในการเพิ่มจุดจำหน่าย เช่น ร้านอาหารกลางวัน คาเฟ่–เรสเตอรองต์ หรือโมเดลร้านบนห้างในช่วงบ่าย
นางสาวประภาวีกล่าวว่า การทดลองใช้ 6 เดือนครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญ เพราะงานวิจัยในอดีตจากหลายสถาบันชี้ชัดว่า การห้ามขายช่วงบ่าย “ไม่ได้ลดการดื่มจริง” และเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ได้ยาก จึงเชื่อว่าหลังจากครบระยะเวลาทดลองแล้ว จะมีความคืบหน้าไปสู่การปรับปรุงกฎหมายอย่างเหมาะสมมากขึ้น
พร้อมย้ำว่า การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนว่ารัฐบาล “รับฟังทั้งผู้ประกอบการและประชาชน” และเป็นสัญญาณว่าประเด็นอื่นที่เคยหารือร่วมกันอาจมีโอกาสขยับต่อได้ในอนาคต เนื่องจากข้อจำกัดช่วงเวลาเดิมเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ปี 2515 และถูกวิพากษ์ในมุมประสิทธิผลมาโดยตลอด
สุดท้าย นางสาวประภาวีสรุปว่า หลังการปลดล็อก ภาพรวมบรรยากาศผู้ประกอบการเริ่ม “สบายใจขึ้น” และคาดว่าบทบาทของร้านอาหารและธุรกิจแอลกอฮอล์รายย่อยจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่าเดิม เพราะมี “เสรีภาพในการเลือกเวลาเปิด–ปิด” ที่สอดคล้องกับลูกค้าและรูปแบบธุรกิจมากขึ้น ไม่ใช่ถูกกำหนดด้วยกฎหมายแบบเดิมที่ใช้มาอย่างยาวนาน
หลังรัฐมีมติเห็นชอบปลดล็อกการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ซึ่งเดิมเป็นช่วงห้ามขายอย่างเข้มงวด ผู้ประกอบการร้านเครื่องดื่มและโรงเบียร์คราฟต์ต่างประเมินว่า มาตรการใหม่นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะ “ร้านในศูนย์การค้า” ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากข้อจำกัดดังกล่าวมานาน
เฮง – ณัฐชัย เตชะวิเชียร ผู้ก่อตั้งโรงเบียร์ Brewave เปิดเผยว่า การปลดล็อกครั้งนี้ “มีผลทันทีต่อโมเดลคีออสในห้าง” เพราะก่อนหน้านี้ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. แทบไม่มีลูกค้านั่งดื่มในห้าง ทำให้รายได้หายไปทั้งช่วงบ่าย แม้จะมีทราฟฟิกคนเดินห้างแต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นยอดขายได้ เมื่อกฎหมายปลดล็อกแล้ว คาดว่าทราฟฟิกของลูกค้าที่ต้องการนั่งพัก–นั่งดื่มหลังทานอาหารกลางวันหรือระหว่างเวลาพัก จะกลับเข้าร้านมากขึ้นอย่างชัดเจน
พร้อมระบุว่า ผลกระทบเชิงบวกอาจไม่ได้ทำให้ยอดขาย “พุ่งแรงในทันที” แต่เพียงพอให้โมเดลคีออสในห้าง “คุ้มทุนและมีความหมายมากขึ้น” โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจต้องรับต้นทุนค่าเช่าที่สูงในศูนย์การค้า การที่ช่วงบ่ายสามารถขายได้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจขยายสาขาได้ง่ายขึ้น
จากแนวโน้มดังกล่าวเฮง – ณัฐชัย จึงมองว่า “ปีหน้าคือจังหวะขยายคีออสเต็มตัว” โดยตั้งเป้าเปิด เพิ่มอีกอย่างน้อย 10 สาขา ในพื้นที่ห้างและคอมมูนิตี้มอลล์ เพื่อใช้ประโยชน์จากกฎหมายใหม่ที่สนับสนุนยอดขายช่วงกลางวัน ซึ่งไม่เคยทำได้มาก่อนอย่างไรก็ตาม ผลดีของการปลดล็อกในช่วงบ่ายยัง “ไม่ตอบโจทย์ร้านสแตนด์อโลน ร้านกลางคืนทั้งหมด” เพราะร้านที่อยู่นอกห้างพึ่งพารายได้หลักช่วง “พีกไทม์” คือ 22.00–04.00 น. แต่กฎหมายไม่ได้ขยายเวลาเปิดให้ตามโซนนิ่งเดิมที่เคยมีการหารือ มองว่าการปลดล็อก 14.00–17.00 น. ช่วยเพียงเล็กน้อยสำหรับร้านประเภทนี้ เมื่อเทียบกับผลกระทบด้านเวลาปิดร้านที่ยังคงใช้เที่ยงคืนเป็นหลัก
เฮง – ณัฐชัย ยังสะท้อนถึงความกำกวมของข้อกฎหมายที่ระบุ “ห้ามดื่มในเวลาห้ามขาย” ซึ่งสร้างความกังวลให้ลูกค้าบางกลุ่มจนไม่กล้านั่งดื่ม แม้จะเป็นเวลาที่อนุญาตแล้ว ส่งผลต่อยอดขายในช่วงเปลี่ยนผ่านของกฎหมาย และต้องใช้เวลาปรับพฤติกรรมผู้บริโภคให้มั่นใจมากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ย้ำว่า เมื่อ 14.00–17.00 น. ถูกปลดล็อกแล้ว จะเป็น “ตัวเร่งสำคัญ” ทำให้ผู้ประกอบการหันมามองโมเดลร้านอาหารคีออสมากขึ้น เพราะสามารถสร้างรายได้ทั้งวัน ไม่ใช่เฉพาะช่วงค่ำอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญของตลาดร้านดื่มในห้าง และเป็นเหตุผลหลักที่ Brewave พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาคีออสใหม่จำนวนมากในปีหน้า