KEY
POINTS
ในยุคที่ร้านอาหารแข่งขันดุเดือด “ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย” แบรนด์ข้าวต้มสไตล์โฮมคุกจากเดลิเวอรี่ กลายเป็นกรณีศึกษาของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่พลิกธุรกิจพื้นบ้านให้เติบโตด้วยข้อมูล (Data-driven) อย่างเป็นระบบ
ด้วยกลยุทธ์เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ปรับเมนู โปรโมชั่น และสต๊อกวัตถุดิบด้วยฐานข้อมูลแทนการคาดเดา จนสร้างยอดขายจากหลักพันสู่หลักแสนบาทต่อเดือนในเวลาไม่กี่เดือน พร้อมตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์และเปิดหน้าร้านแห่งแรกในปีหน้า ถือเป็นตัวอย่างธุรกิจอาหารยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย Data มากกว่าด้วยดวง
นายลภน อัครขจรไชย และ นางสาวศิวพร เดือนแจ้ง เจ้าของร้าน “ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย” หนึ่งในแบรนด์เอสเอ็มอีคนรุ่นใหม่ ที่ให้บริการเดลิเวอรี และได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน จนสามารถทำรายได้เฉลี่ย 3-5 แสนบาทต่อเดือนและทำกำไรเฉลี่ย 40% จนกลายเป็นตัวอย่างของการใช้ข้อมูลพลิกเกมธุรกิจอย่างน่าจับตา
“ลภน” เล่าให้ “ฐานเศรษฐกิจ” ฟังว่า ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย เป็นแบรนด์อาหารสไตล์บ้านๆ ที่เกิดจากครัวเล็ก ๆ จุดเริ่มต้นมาจากความตั้งใจให้คนเมืองกินข้าวต้มกุ๊ยได้สะดวกโดยไม่ต้องสั่งหลายจาน แบรนด์จึงถูกออกแบบให้ตอบโจทย์พฤติกรรม “Solo Living” ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมสั่งเดลิเวอรีและรับประทานคนเดียว
ขณะเดียวกันก็ใช้เทคนิค “Data-driven Marketing” เข้ามาบริหารทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ช่วงเวลาที่ลูกค้าสั่งซื้อ เมนูขายดี จนถึงการจัดโปรโมชั่นเฉพาะวัน
ผลลัพธ์จากกลยุทธ์นี้ทำให้ยอดขายของ “ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย” เติบโตจาก 8,000 บาทในเดือนแรก สู่หลักแสนบาทภายในเวลาไม่กี่เดือน ปัจจุบันมีลูกค้าเก่าซื้อซ้ำกว่า 70% และมีลูกค้าใหม่เพิ่มต่อเนื่อง ขณะที่การใช้ข้อมูลยังช่วยลดต้นทุนและของเสีย “เรารู้ว่าอะไรควรสต๊อกมากหรือน้อย ทำให้แทบไม่มีวัตถุดิบเหลือทิ้ง และยิ่งซื้อจำนวนมากต้นทุนยิ่งลด กำไรจึงเพิ่มขึ้น”
อีกกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์คือคอนเทนต์ไวรัลที่โดนใจคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวคิด “ข้าวต้มกุ๊ยไม่จำเจ” ที่ผสมอารมณ์ขันและความเป็นกันเอง จนมียอดเข้าชมกว่า 3–4 แสนครั้งบนโซเชียล โดยใช้งบโฆษณาไม่ถึง 1% ของรายได้ ถือเป็นตัวอย่างของการใช้พลังคอนเทนต์และ Data Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันธุรกิจอยู่ระหว่าง “ทดลองระบบ” (Lab Phase) เพื่อวางมาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) และระบบปฏิบัติการก่อนขยายแฟรนไชส์ ซึ่งมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเริ่มเปิดแฟรนไชส์ได้ภายใน 3 ปี และเตรียมเปิดหน้าร้านแห่งแรกย่านรัชดาภิเษกในปีหน้า โดยยังคงยึดโมเดลเดลิเวอรีเป็นช่องทางหลัก
นายลภน กล่าวอีกว่า ปัจจัยหนุนธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 มาจากเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบ Cashless เข้าถึงทั่วประเทศ รวมถึงบริการเดลิเวอรีที่ขยายถึงต่างจังหวัด ประกอบกับมาตรการภาครัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคอาหารในกลุ่มคนทำงาน อย่างไรก็ตาม ต้องระวังความผันผวนของพฤติกรรมผู้บริโภค ต้นทุนวัตถุดิบ และแรงงานที่สูงขึ้น รวมถึงการแข่งขันจากเชนใหญ่ที่ใช้โปรโมชั่นดึงลูกค้า
“วันนี้ธุรกิจอาหารไม่ใช่แค่ใครทำอร่อยที่สุด แต่คือใครเข้าใจลูกค้ามากที่สุด” ลภนทิ้งท้าย พร้อมย้ำว่า Data คืออาวุธสำคัญของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่อยากอยู่รอดในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว และ “ใครไม่กุ๊ย” ก็กำลังพิสูจน์ว่าแม้อาหารบ้านๆ ก็เติบโตได้ด้วยข้อมูลและความเข้าใจในผู้บริโภค
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,145 วันที่ 2 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568