KEY
POINTS
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์ไทย กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมมลพิษปี 2568 พบว่า ขยะอาหารในประเทศไทยมีปริมาณสูงถึง 10 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 36 - 39% ของขยะชุมชนทั้งหมด คนไทยสร้างขยะอาหารเฉลี่ยสูงถึง 154 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ดังนั้น สถานการณ์ “ขยะอาหาร” (Food Waste) ในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นเร่งด่วน โดยมีแผนผลักดัน “แผนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Zero Food Waste” พร้อมประกาศให้ปี 2568 นี้ เป็น “ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหาร” เพื่อมุ่งลดปริมาณขยะอาหารลง 50% ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า EKA GLOBAL ที่เป็นผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ได้ตระหนักถึงการแก้ปัญหาขยะอาหารอย่างยั่งยืนว่าควรเริ่มที่ “การป้องกันไม่ให้เกิดขยะตั้งแต่แรก” มากกว่าการจัดการที่ปลายทาง ภาคเอกชนต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เช่น Modified Atmosphere Packaging (MAP) ที่ให้ผลบวกอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารการเติบโตยังคงสดใส สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนและการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารในระดับภูมิภาคยังคงเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 5 – 10% ต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร
จากการประมาณการณ์แนวโน้มการส่งออกอาหารพร้อมรับประทานของไทย ยังเป็นตลาดที่คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราที่สูงกว่าการค้าโลกโดยเฉลี่ย ตามข้อมูลโดยสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมฯ และสถาบันอาหาร ที่มองมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยโดยรวมในปีนี้จะเติบโตกว่า 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8%
สอดคล้องกับศูนย์วิจัยกรุงศรี ที่คาดการณ์การเติบโตของปริมาณส่งออกอาหารพร้อมรับประทานปี 2568 – 2569 จะขยายตัวเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี มีแรงหนุนจากพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของสังคมเมือง วิถีชีวิตที่เร่งรีบ และการให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด และมีอายุการเก็บรักษานาน ทำให้ความต้องการอาหารพร้อมรับประทานที่ใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการต้องติดตามความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและนโยบายภาษีระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น การลงทุนในเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหาร จึงเป็นการลงทุนที่สร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพราะช่วยแก้ปัญหาขยะอาหารได้ตั้งแต่ต้นทาง และยังช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดขยะอาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม