KEY
POINTS
ในวันที่สมรภูมิร้านอาหารแข่งขันกันอย่างดุเดือด “ความเก๋า” ของแบรนด์ไม่ได้วัดกันที่ใครมาก่อนมาหลัง แต่ตัวชี้วัดความอยู่รอดคือ “การต่อยอดสูตรสำเร็จ” ท่ามกลางยุคที่ “สงครามราคา” เกือบกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาด ธุรกิจที่อยู่รอดได้ต้องมี “จุดยืน” และเข้าใจว่าความยั่งยืนไม่ได้วัดจากยอดขายเพียงปีเดียว
นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน ทายาทรุ่นสอง กับหมวกใบใหญ่ภายใต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนา DAILYNEWS TALK 2025 ปีนี้รอดมาได้อย่างไร...ปีหน้าเติบโตอย่างไรให้มั่นคง ว่า ปีที่ผ่านมาแม้ตลาดร้านอาหารจะยังคึกคัก แต่ก็มีแรงสั่นสะเทือนจากหลายปัจจัย ทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัว และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ยอดขายปีนี้ แต่คือเราจะทำอย่างไรให้ผลลัพธ์นั้นเกิดซ้ำได้ ถ้าเราไม่เข้าใจกระบวนการของความสำเร็จ มันก็ไม่ยั่งยืน เราจึงกลับมาวิเคราะห์ทุกโปรเจกต์ ว่าอะไรที่ดีต้องต่อยอด อะไรที่ไม่ดีต้องหยุดทำ”
เอ็มเคกรุ๊ป จึงเดินหน้าทำ “Segmentation” แบบเข้มข้น แทนโมเดลเดิมที่เคยใช้รูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ ด้วยการปรับร้านและสินค้าตามบริบทของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เช่น ร้านในกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดอาจมี “ออฟเฟอร์” ต่างกัน เพื่อให้สอดรับกับรสนิยมและกำลังซื้อที่หลากหลาย
แนวทางนี้ทำให้ “Topline” หรือรายได้รวมของธุรกิจมีความแข็งแรงต่อเนื่อง ลูกค้ากลับมาซ้ำ (Repeat Visit) มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับกลุ่มผู้บริโภคทุกวัย ตั้งแต่ Baby Boomer จนถึง Gen Z
ในด้านต้นทุน ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจร้านอาหาร เอ็มเคกรุ๊ปเผชิญความท้าทายเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ทั้งค่าแรง ค่าเช่า และราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ทานตะวันเผยว่า บริษัทยังไม่ลดปริมาณการซื้อวัตถุดิบ แต่เลือก “บริหารด้วยข้อมูล”
“เรามีสินค้าซื้อขายกว่า 1,000 รายการทั่วประเทศ เราไม่รู้ว่าวัตถุดิบตัวไหนจะขึ้นราคาเมื่อไร แต่เรามีดาต้าที่ช่วยให้มองเห็นเทรนด์ราคาและวางแผนล่วงหน้าได้ เราไม่รอให้ตลาดช็อกแล้วค่อยแก้ แต่ใช้ข้อมูลบริหารความเสี่ยงตั้งแต่ต้น”
เอ็มเคกรุ๊ปจึงเริ่มใช้ AI และระบบ Data Index เข้ามาช่วยวิเคราะห์ต้นทุน จัดการการสั่งซื้อ และลดของเสีย (Waste) โดยให้เทคโนโลยีทำหน้าที่พยากรณ์แนวโน้ม แต่ยังคงมีทีมงานมนุษย์ช่วย “ตรวจสอบ–อนุมัติ–ปรับใช้จริง” เพื่อให้การตัดสินใจมีความยืดหยุ่นและแม่นยำในเวลาเดียวกัน
ในสมรภูมิที่ “สงครามราคา” กลายเป็นสนามหลักของหลายแบรนด์ ทานตะวันยืนยันว่า เอ็มเคกรุ๊ปไม่เลือกทางนั้น
“เรายังไม่เคยตั้งใจจะทำสงครามราคา เพราะสุดท้ายแล้วการถูกที่สุดไม่ได้แปลว่าดีที่สุด ลูกค้ามองหาความคุ้มค่ามากกว่าแค่ราคาถูก เราไม่ลดคุณภาพ แต่หาสมดุลระหว่างราคาและคุณค่า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘คุ้มที่จะกลับมา’”
โมเดล บุฟเฟต์หมูมาราธอน ราคา 299 บาท เป็นตัวอย่างหนึ่งของการทดลองเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่การ “ลดราคาเพื่อรอด” แต่คือการ “เปิดตลาดใหม่เพื่อเรียนรู้” ซึ่งทีมเอ็มเคนำข้อมูลจากโปรเจกต์นี้ไปต่อยอดสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ในปีถัดมา
“การทดลองทำให้เราเห็นดาต้าใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และบางครั้งก็กลายเป็นไอเดียต่อยอดธุรกิจในอนาคต” เธอกล่าว
อีกหนึ่งพลังสำคัญที่ทำให้เอ็มเคกรุ๊ปยืนระยะได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง คือ “คน” ทานตะวันยอมรับว่า ภายในองค์กรมีทั้งพนักงานรุ่นแรกที่อยู่มานาน และคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเติมไฟ แต่แทนที่จะเกิดช่องว่างระหว่างวัย เอ็มเคกลับใช้ “วัฒนธรรมองค์กร” เป็นกาวเชื่อมทุกเจเนอเรชันให้เดินไปด้วยกันในทิศทางเดียว
“เรามีพี่ ๆ ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วันแรก และน้องรุ่นใหม่ที่มีความคิดทันสมัย เราไม่เลือกข้าง แต่ใช้จุดแข็งของแต่ละเจนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์เอ็มเค”
บทเรียนธุรกิจปี 2568–2569 ความสำเร็จต้องเกิดซ้ำได้
เมื่อถูกถามถึงเป้าหมายในปี 2569 นางสาวทานตะวันย้ำว่า เอ็มเคไม่ได้มองแค่ “กำไรปีนี้” แต่เน้นความมั่นคงระยะยาว
“แม้วันนี้เรายังมีกำไร แต่คำถามคือ มันเป็นกำไรชั่วคราวหรือยั่งยืน ถ้าเราลดทุกอย่างเพราะเศรษฐกิจชะลอ พอตลาดกลับมา เราอาจไม่มีทรัพยากรพอจะคว้าโอกาสนั้นได้ ธุรกิจต้องรักษาสมดุลให้ดี”
หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ “การเข้าใจกระบวนการของความสำเร็จ” — เพราะยอดขายอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย แต่ถ้าไม่รู้ว่ามันมาจากอะไร ก็ไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นอีกได้
“ในวันที่ยอดขายดี เราจะถามตัวเองเสมอว่า ‘มันเกิดจากอะไร’ ถ้าไม่รู้กระบวนการของความสำเร็จ เราจะไม่มีวันทำให้มันเกิดขึ้นอีกได้ ธุรกิจที่อยู่ได้จริง ต้องเข้าใจเหตุผลของสิ่งที่ทำ ไม่ใช่แค่รอผลลัพธ์” นางสาวทานตะวันกล่าวทิ้งท้าย