ชมรมร้านอาหาร ยื่น 7 ข้อนายกฯ ฟื้นศก. ขยาย 'คนละครึ่ง' ช่วยเอสเอ็มอี

25 ก.ย. 2568 | 07:10 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ย. 2568 | 07:12 น.

ปธ.ชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เสนอ 7 มาตรการกู้เศรษฐกิจ อุ้มเอสเอ็มอี วอนขยาย คนละครึ่ง ครอบคลุมธุรกิจ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2.5% พร้อมเรียกร้องยกเลิกห้ามขายแอลกอฮอล์ช่วง 14.00-17.00 น.

KEY

POINTS

  • ชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารยื่นข้อเสนอ 7 ข้อต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs
  • ข้อเสนอหลักคือการขยายโครงการ "คนละครึ่ง" ให้ครอบคลุมร้านอาหาร SMEs ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้
  • เสนอมาตรการทางภาษีเพื่อลดหย่อนสำหรับผู้ที่ใช้บริการร้านอาหาร SMEs, การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการควบคุมราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภค
  • เรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้ร้านอาหาร

25 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนผู้ประกอบภาคธุรกิจ SMEs ขอเข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือนำเสนอมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคนละครึ่งที่มองว่า รายละเอียดยังขาดหายไป โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว 

ทั้งนี้ นายสรเทพ ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคม โฮสเทลประเทศไทย ได้เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ภายหลังการเข้ายื่นหนังสือและหารือเกี่ยวกับข้อเสนอต่าง ๆ ว่า ได้รับการตอบรับที่ดีหลายเรื่อง โดยหนึ่งในข้อเสนอสำคัญที่อยากให้ช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหาร คือ ให้สามารถเข้าร่วมนโยบาย คนละครึ่ง เนื่องจากร้านอาหารที่เป็น SMEs นิติบุคคลยังไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ 

นายสรเทพ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ระบุว่า ภาคธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะร้านอาหารรายย่อยที่อยู่ในระบบเป็นนิติบุคคลและเสียภาษีมาโดยตลอดกลับไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ จึงอยากให้ นายสิริพงศ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเร่งพิจารณาแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติมและนำเสนอนายอนุทิน นายกรัฐมนตรี เช่น การใช้มาตรการภาษีซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐ พร้อมกันนี้ได้ชูข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อช่วยเหลือ SMEs และกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

"จากการหารือเบื้องต้นว่า จะได้มีการกำหนดเงื่อนไขกลุ่มนิติบุคคลที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ที่จะเน้นย้ำว่าต้องเป็นผู้ประกอบการไทยตัวจริงเพื่อไม่ไปเอื้อให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งเป็นข่าวดีประการหนึ่งที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วมซึ่งต้องรอรายละเอียดเงื่อนไขที่ชัดเจนอีกครั้งโดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์ภายหลังนายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว"  

สำหรับรายละเอียดของหนังสือเพื่อขอให้รัฐบาลนายอนุทิน นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ประกอบด้วย

1. เร่งเดินหน้าโครงการ "คนละครึ่ง" เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้า แม่ขาย และธุรกิจระดับรากหญ้า รวมถึงร้านอาหาร SMEs ที่อยู่ในระบบภาษี นิติบุคคล ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะเริ่มใช้ 1 ตุลาคมนี้

2. ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคล โดยเสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ให้บุคคลธรรมดาสามารถใช้ใบกำกับภาษีจากร้านอาหาร SMEs ไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ในปี 2570 วงเงินไม่เกิน 20,000 บาท อีกทั้งให้นิติบุคคลสามารถใช้ค่าใช้จ่ายจากงานเลี้ยง สัมมนา หรือรับรองในร้านอาหาร SMEs ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท 

3. ออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ดอกเบี้ยไม่เกิน 2.5% พร้อมให้ บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ค้ำประกันเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องกระแสเงินสดหมดจากสภาพเศรษฐกิจที่บอบช้ำมานานตั้งแต่โควิดจนถึงปัจจุบัน

4. แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวปลายปี 2568 และระยะยาวในปี 2569 โดยมีการทำโปรโมชั่น กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะมาประเทศไทย มากกว่าอยากไปประเทศอื่นในอาเซียน เช่นแจกเงินให้นักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านแอปพิเคชั้น 1,000-1,500 โดยกำหนดเงื่อนไขเช่นหากพักเกิน 4 คืนขึ้นไป ผ่านระบบแอพกระเป๋าตังค์ในรูปแบบภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้จ่ายในไทย เช่น ที่พักและร้านอาหาร ไกด์ บริษัทท่องเที่ยวในประเทศ

นอกจากนี้อยากให้จัดทำแคมเปญสำหรับดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กระจายไปเมืองรอง "บินฟรีเมืองรอง" โดยให้สิทธิบินภายในประเทศฟรี 1 เที่ยวขาไป เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยสายการบินไทยและต่อเครื่องบินของการบินไทยหรือในเครือหรือกลุ่มสายการบินพาร์เนอร์

5. ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเรียกร้องให้ รัฐมนตรีท่านใหม่ กระทรวงพาณิชย์เร่งควบคุมราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ราคาหน้าฟาร์มตกต่ำ แต่ราคาขายปลีกกลับสูงผิดปกติ

6. ควบคุมราคาพลังงานช่วงไตรมาสสุดท้ายเสนอให้กระทรวงพลังงานดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการควบคุมราคาค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและต้นทุนของภาคธุรกิจ

7.ปลดล็อก คำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 ที่ห้ามขายแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00.น. สำหรับร้านอาหาร ทั้งนี้ โดยขอให้เข้าใจและเห็นใจเหตุผลที่เสนอไปว่า เป็นกฎหมายที่ล้าหลังไม่เข้ากับยุคสมัยโดยเฉพาะเป็นคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 ซึ่งใช้มายาวนานกว่า 53 ปีและบริบททางสังคมเปลี่ยนไปอย่างมากในปัจจุบัน ที่สำคัญปรับเปลี่ยนให้สอดรับประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่คุ้นชินกับการกินดื่มช่วงบ่ายในระหว่างพักผ่อนในประเทศนั้น ๆ และบริบทอันนี้ไม่สามารถนำไปใช้กับคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 เรื่องห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร 14.00 น.- 17.00 น.

นายสรเทพ กล่าวว่า การแก้กฎหมายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านอาหารได้มากขึ้นที่ก่อนหน้านี้ติดข้อกฎหมายของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลา 11.00 – 14.00 และช่วงเวลา 17.00-24.00 น. เท่านั้นซึ่งทำให้มีช่วงฟันหลอในช่วงหลังเวลา 14.01-16.59 น.

ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะต่างชาติที่จะออกมากินข้าว ดื่มเบียร์ในเวลานี้ ในช่วงเวลา 14.00-17.00 เป็นช่วงที่ร้านอาหารค่อนข้างจะเงียบเหงาและไม่สามารถทำรายได้ได้และยังสร้างความมึนงงและไม่เป็นมาตรฐานสากลในกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก

หากมีการช่วยปลดล็อกกฎหมายฉบับนี้และทำให้มีผลบังคับใช้ได้โดยเร็วจะส่งผลดีและยอดขายต่อผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารได้เป็นอย่างดีและยังเป็นการส่งเสริมคาเฟ่เบียร์คราฟต์ให้เติบโตขึ้นด้วย