KEY
POINTS
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่ม (รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม) 84,200 ล้านบาท เติบโต 1.9% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก นายนที จรัสสุริยงค์ Co-Founder ของบริษัท กัสส์ แดมน์ กู๊ด จำกัด หรือผู้ก่อตั้งแบรนด์คราฟต์ไอศกรีม Guss Damn Good เปิดเผยกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ว่า ภาพตลาดไอศกรีมในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มไอศกรีมพรีเมียมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ตลาดไอศกรีมสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มพรีเมียม ราคา 80 บาทขึ้นไป และกลุ่มแมส 15-20 บาท ซึ่งกลุ่มพรีเมียมแม้จะมีสัดส่วนตลาดน้อย แต่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง มาจากผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าพรีเมียมมากขึ้น ไอศกรีมที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เช่น ไอศกรีมที่ปราศจากน้ำตาลหรือใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ โดย Guss Damn Good อยู่ในกลุ่มพรีเมียม
“ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนการเติบโตของตลาดไอศกรีมคือสภาพอากาศร้อนในประเทศไทย ซึ่งทำให้ไอศกรีมยังคงเป็นสินค้าที่นิยมบริโภคอย่างต่อเนื่องและในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่เป็นพีคซีซั่นจากการเฉลิมฉลองและวันหยุดยาว ทำให้ความต้องการในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกิจกรรมร่วมสนุก เช่น ปาร์ตี้หรือการเฉลิมฉลองต่าง ๆ”
นายนที กล่าวว่า ไอศกรีม Guss Damn Good เกิดขึ้น โดยร่วมกับ นางสาวระริน ธรรมวัฒนะ นำแรงบันดาลใจจากการรับประทานไอศกรีมในฤดูหนาว ในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ นี้ให้ผู้บริโภคในประเทศไทย
ปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการ 4 แบรนด์ จำนวนรวม 21 สาขา ได้แก่ Balcony 1 สาขา, Adam & Eve 1 สาขา, Talad 1 สาขา, และ Guss Damn Good 18 สาขา ซึ่งเป็นแบรนด์หลักที่สร้างรายได้ 85% ของรายได้รวมทั้งหมด
ในไตรมาส 4 นี้บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซึ่งจะรวมทั้งแบรนด์ Guss Damn Good และ Adam & Eve และ เดอะเซอร์เคิล ซึ่งจะเปิดเฉพาะสาขาของ Adam & Eve นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ และเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 รายการ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาด
สำหรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคตบริษัทกำลังทดลองโมเดลแฟรนไชส์แห่งแรกที่ เขาใหญ่ คาดว่าจะเปิดต้นปีหน้า และหากประสบความสำเร็จ บริษัทมีแผนจะขยายไปยังจังหวัดหลัก ๆ เช่น ภูเก็ต และ ขอนแก่น โดยจะยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพและระบบการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
“ปัจจุบันเรามีไอศกรีมทั้งหมด 200 รสชาติ โดยตั้งเป้าหมายพัฒนารสชาติใหม่ 10 รสชาติต่อปี ขณะเดียวกันเราได้โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์เอง เช่น Instagram, Facebook, และ TikTok จะเป็นกลยุทธ์หลักในการขยายฐานลูกค้า ในด้านรายได้บริษัทตั้งเป้าการเติบโต 15% ต่อปี”
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา พบว่าในไตรมาส 1 ไม่มีการเติบโตเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่ ไตรมาส 2 และ 3 เริ่มฟื้นตัวจากแคมเปญต่าง ๆ โดยแคมเปญหลักในไตรมาส 3 เป็นการร่วมมือกับ 10 แบรนด์ดัง เช่น ทิพรส, ปุ้มปุ้ย, โยโย่, อสร., ศรีราชา ฯลฯ สร้างสรรค์รสชาติไอศกรีมใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาดได้เป็นอย่างดี
สำหรับภาพรวมการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มและขนมหวาน พบว่า การเข้ามาของเครื่องดื่มชาไข่มุกและผลไม้ปั่นถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดไอศกรีมได้ เนื่องจากผู้บริโภคที่เลือกดื่มชาอาจจะไม่เลือกกินไอศกรีมอีกต่อไป ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในบางกรณีผู้บริโภคอาจเลือกซื้อไอศกรีมเพื่อคลายเครียดหรือเพิ่มความสุข คล้ายกับการซื้อช็อกโกแลตเพื่อบำบัดจิตใจ
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,131 วันที่ 14 - 17 กันยายน พ.ศ. 2568