นายฐานพงศ์ จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทย ได้รับการยอมรับอย่างสูงในตลาดต่างประเทศและเป็นที่ต้องการจำนวนมาก แนวโน้มการส่งออกถือว่าดี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไอศกรีมผลไม้ไทย ที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่ ซึ่งประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 ของประเทศผู้ส่งออกไอศกรีมของภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดัน 4 ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ผ่านมา (2563-2567) 106 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 3.486 พันล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ย 11% ต่อปี
ขณะเดียวกัน "แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป" ผู้ผลิตและส่งออกไอศกรีมอันดับ 9 ของไทย ก็มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยสัดส่วนการขายในต่างประเทศกว่า 99% และในประเทศเพียง 1% ผลิตภัณฑ์หลักเป็นไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้มีสัดส่วนถึง 70% โมจิไอศกรีม 20% ไอศกรีมซอร์เบผลไม้ชนิดถ้วย 10% เรียกได้ว่าผลไม้เป็นวัตถุดิบสำคัญในขบวนการผลิต แต่จากปัญหาหลายด้านทำให้การผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แม้จะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก
นายฐานพงศ์ กล่าวว่า ปัญหาด้านภูมิอากาศและภัยแล้งเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ผลไม้ไม่เพียงพอต่อการผลิตไอศตรีม ดังนั้น บริษัทฯ จึงเพิ่มศักยภาพและกำลังการผลิตให้มากขึ้น 2 ด้าน คือ 1.ลงทุนกว่า 30 ล้านบาท ในการพัฒนาพันธ์และปลูกสับปะรดวัตถุดิบสำคัญของผลิตภัณฑ์หลักในจังหวัดเชียงรายกว่า 1,300 ไร่ และในจังหวัดสระบุรี 100 ไร่ โดยจะให้ผลผลิตรวมตั้งแต่ปลายปี 2567 ถึงสิ้นปี 2568 มีประมาณ 10 ล้านชิ้น
2.ทำสัญญารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร (Fame Contact) อีก 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ปลูกอีกประมาณ 1,000 ไร่ รับผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตไอศกรีมเก็บเข้าห้องเย็นของโรงงาน ซึ่งมีความจุถึง 1,000 ตัน สามารถผลิตไอศกรีมให้แก่ลูกค้าได้ตลอดปี แก้ทั้งปัญหาการขาดวัตถุดิบและได้ต้นทุนที่ลดลง
"เราพยายามเพิ่มศักยภาพและกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ในส่วนการผลิตได้ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ขยายและก่อสร้างโรงงานใหม่ จาก 2,000 ตรม. เป็น 5,000 ตรม. ทำให้กำลังการผลิตให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากเดิมวันละ 3 หมื่นชิ้น เป็น 9 หมื่นชิ้น หรือ จาก 350 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี เป็น 800 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี พร้อมสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไอศกรีมใหม่ให้กับบริษัทฯ ที่มีทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสที่โดดเด่น ชูจุดแข็งที่แตกต่างและเป็นที่ต้องการบริโภคจากลูกค้าทั่วโลก"
นอกจากนี้ ยังการรับจ้างผลิต (OEM) และพร้อมขยายตลาดในประเทศ ในปี 2568 ได้เปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองในชื่อ แม็คซ์ เฟรช (MaxFresh) เพื่อรุกตลาดยุโรปและอเมริกา คาดว่ารายได้รวมทั้งหมดภายใต้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯจะถึง 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2567 ที่ผ่านมาประมาณ 10%
นายฐานพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือ ไอศกรีมซอร์เบในลูกแต่งโมไซน์มินิ (Mini Watermelon Sorbet Ice Cream) ครั้งแรกของโลก ด้วยการพัฒนาพันธุ์และผลผลิตของแตงโมให้มีขนาดเล็ก แบบไม่ตัดต่อพันธุกรรม เพื่อใช้ลูกแตงโมสดเป็นภาชนะสำหรับใส่ไอศกรีม ซึ่งจะส่งออกไปยังประเทศเกาหลีเป็นประเทศแรก
ขณะเดียวกัน ก็ยังคงเน้นตลาดในต่างประเทศ 7 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี จีน ซาอุ ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย เวียดนาม ส่วนเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อาฟริกา และสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องรอความชัดเจนของผลการเจรจาข้อตกลงด้านภาษีระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม โรงงานใหม่ของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ถือเป็นโรงงานผลิตไอศกรีมสมัยใหม่ มีขบวนการผลิตและกำจัดของเสียอย่างสมบูรณ์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงและมุ่งเน้นในการสร้างความยั่งยืน อาทิ นวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนการใช้ไฟฟ้าเพื่อแช่แข็งไอศกรีมมาใช้ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซน์หมุนเวียนแทน ช่วยย่นระยะเวลาการผลิตจาก 4 วัน เหลือ 12 นาที สามารถประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้าจากเดือนละกว่า 1 ล้านบาท เหลือ 2 แสนบาทต่อเดือน
ทั้งยังติดตั้งโซล่าร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเป็นพลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน การจัดการขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) การหมุนเวียนน้ำเสียแบบ 100% ฯลฯ จากการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้จัดการกระบวนการผลิต โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) และบริษัทฯ ได้รับรางวัล CEO Economass Award 2024 จากนายกรัฐมนตรี และรางวัลบุคคลตัวอย่างภาคธุรกิจแห่งปี 2024 ภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
นับเป็นมาตรฐานโรงงานใหม่ที่มีแต้มต่อสำคัญอย่างยิ่ง ในการขยายตลาดต่างประเทศ เนื่องจากผู้จัดจำหน่ายและผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ ที่ต้องใส่ใจในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน