นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงรอบด้านจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นทั่วโลก ทั้งกรณีไทย-กัมพูชา, อิหร่าน-อิสราเอล รวมถึงสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่ยังไม่จบ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคส่งออก การผลิต และซัพพลายเชนของเอสเอ็มอี ทำให้ความเชื่อมั่นติดลบ กำลังซื้อต่ำ ต้นทุนพุ่ง หนี้สูง และสภาพคล่องลดลงอย่างหนัก
นายแสงชัย ระบุว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่หากไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง จะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย-ปากีสถาน, อิหร่าน-อิสราเอล และล่าสุดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐอเมริกา ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออก การผลิต และห่วงโซ่อุปทานของเอสเอ็มอี ไทยจำนวนมาก ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
“เอสเอ็มอีไทยต้องเผชิญกับผลกระทบสะสมมายาวนาน ทั้งจากกำลังซื้อที่อยู่ในระดับต่ำ รายได้ที่ลดลงต่อเนื่อง ภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาหนี้สินจำนวนมาก และสภาพคล่องที่ตึงตัว ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเป็นไปได้ยาก ตลาดโดยรวมอยู่ในภาวะซบเซา ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนจากภาครัฐ”
นายแสงชัย เน้นย้ำถึง 9 ประเด็นสำคัญที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ 1. ด้านความมั่นคงไทย ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ควรใช้สันติวิธีและยุทธศาสตร์ "รบแบบไม่รบ ชนะโดยไม่ต้องใช้อาวุธ" การรุกล้ำดินแดนและการตอบโต้ทางเศรษฐกิจด้วยการปิดด่านชายแดนได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าชายแดนทั้งสองฝ่าย ผู้ประกอบการไทยที่ลงทุนในกัมพูชามีความเสี่ยงต่อ Supply Chain แรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 400,000 ราย และผู้ประกอบการไทยที่จ้างงานต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการหาแรงงานทดแทนและปรับใช้เทคโนโลยี โดยภาครัฐต้องมีมาตรการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนธุรกิจและหาตลาดใหม่รองรับสินค้าไทย
2. สงครามภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอลส่งผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและระบบโลจิสติกส์ ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งและพลังงานสูงขึ้น หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดจริง ประเทศไทยต้องมีแผนรองรับในการแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนและเร่งปรับโครงสร้างการใช้พลังงานสู่พลังงานสะอาด เพื่อลดความเสี่ยงต่อค่าครองชีพของประชาชนและผู้ประกอบการ 3. เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ย ต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทย ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
4. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ลดทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างชาติ แม้ประเทศไทยยังคงมีเสน่ห์ด้านการค้า การลงทุน อาทิ วัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 5. การขับเคลื่อนนโยบาย 10 ด้านของรัฐบาล: นายแสงชัยตั้งคำถามถึงความคืบหน้าของนโยบาย 10 ด้านที่รัฐบาลเคยแถลงไว้ โดยต้องการความชัดเจนในมาตรการส่งเสริม หน่วยงานที่รับผิดชอบ และผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะนโยบายสำคัญ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้, การปกป้อง SME จากการแข่งขันไม่เป็นธรรม, การลดราคาพลังงาน, การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ภาษี, การกระตุ้นเศรษฐกิจ (รวมถึงดิจิทัลวอลเล็ต), การยกระดับเกษตร, การส่งเสริมท่องเที่ยว, การแก้ปัญหายาเสพติด/อาชญากรรม และการพัฒนาสวัสดิการสังคม เน้นย้ำว่านโยบายที่ขัดแย้งควรทบทวนและรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน อย่าดึงดัน
6. GDP สุ่มเสี่ยง "แดงเดือด" คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจเติบโตต่ำกว่าที่สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% หากการดำเนินนโยบายยังขาดประสิทธิภาพ GDP อาจขยายตัวเข้าใกล้ศูนย์ ควรมีการตรวจสอบข้อมูลการเติบโตของ GDP ที่อาจมาจาก "นิติบุคคลสวมสิทธิ์" และ "GDP สีเทา" รวมถึงประสิทธิภาพการกำกับดูแลธุรกิจผิดกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตของ GDP เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง 7. ภาระต้นทุนและสภาพคล่องเอสเอ็มอี ปัจจุบันเอสเอ็มอีเผชิญผลกระทบสะสมจากกำลังซื้อต่ำ รายได้ลด ต้นทุนเพิ่ม หนี้สูง และสภาพคล่องต่ำ ทำให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ยาก ตลาดซึมเศร้า 8. การเข้าถึงแหล่งทุนเอสเอ็มอี มีความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องได้รับการแก้ไข และ 9. ตลาดซึมเศร้า โดยรวมแล้ว ตลาดอยู่ในภาวะซบเซา ซึ่งต้องการการกระตุ้นและการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
นายแสงชัย ให้คำแนะนำภาคเอกชนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ โดยเน้นแนวคิด "รอบรู้ รอบคอบ รอบด้าน และรอบตัว" ต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ เตรียมแผนรองรับและปรับตัวทางธุรกิจ ดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ บริหารจัดการความเสี่ยงด้าน Supply Chain ควบคุมต้นทุนทางการเงินและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และพัฒนายกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจ เข้าถึงมาตรฐานที่จำเป็น ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม แสวงหาตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ และใช้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ พร้อมสร้างการเชื่อมโยงและบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรภายในองค์กร ชุมชน คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ เพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าและพัฒนาธุรกิจร่วมกัน
"เป็นกำลังใจให้ SME ไทยเข้มแข็ง อยู่รอด อยู่เป็น อยู่เย็น อยู่ยาว" นายแสงชัยกล่าวทิ้งท้าย