กระแสการจ้างงานที่น่าสนใจในยุคสังคมสูงวัย เมื่อภาคเอกชนเริ่มให้ความสำคัญและเปิดโอกาสต้อนรับ "แรงงานวัยเก๋า" หรือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2568 โดยจะมีประชากรผู้สูงอายุมากถึง 14.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
จากข้อมูลล่าสุด ณ ปี 2568 ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 64.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 9.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของประชากร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน ซึ่งหมายความว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่ "สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์" (Aged Society) อย่างเป็นทางการ โดยจะมีผู้สูงอายุ 1 คน ต่อประชากรทุกๆ 5 คน
ประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มตัว เอกชนเล็งเห็นศักยภาพ "แรงงานวัยเก๋า" อ้าแขนรับร่วมงาน ชูจุดเด่นความรู้ ประสบการณ์ และความรับผิดชอบสูง พร้อมเป็นพี่เลี้ยงคนรุ่นใหม่ ย้ำคุณสมบัติเด่น อดทน-รับผิดชอบสูง เปิดโอกาสทั่วประเทศ สอดคล้องนโยบาย พม. ปั้นผู้สูงวัยเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
โอกาสทองของผู้สูงวัย! ซีเจ มอร์, บิ๊กซี, ซีพี แอ็กซ์ตร้า และแกร็บ ประเทศไทย พร้อมเปิดรับสมัคร "แรงงานวัยเก๋า" อายุ 55-60 ปีขึ้นไป ร่วมงานพาร์ทไทม์-ประจำ พร้อมสวัสดิการและโอกาสสร้างรายได้หลากหลายรูปแบบ
ข่าวดีสำหรับผู้สูงวัยที่ยังคงต้องการทำงานและสร้างรายได้ เมื่อ 4 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกและบริการเดลิเวอรี่ ได้แก่ ซีเจ มอร์ (CJ MORE), บิ๊กซี (Big C), ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP Axtra) และ แกร็บ ประเทศไทย (Grab Thailand) พร้อมใจเปิดรับสมัคร "แรงงานวัยเก๋า" เข้าร่วมงานในหลากหลายตำแหน่งและรูปแบบ
ซีเจ มอร์ เปิดรับ "ซีเจ ซีเนียร์ พลัส" อายุ 55 ปีขึ้นไป
ติดต่อ: โทร. 02-026-2233, Line: @CJMORE
บิ๊กซี เปิดโครงการ "พี่ใหญ่ไฟแรง" รับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
ซีพี แอ็กซ์ตร้า เปิดโครงการ "60 ยังแจ๋ว" สนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ
แกร็บ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการ "แกร็บวัยเก๋า" รับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นพาร์ทเนอร์คนขับ
การเคลื่อนไหวของภาคเอกชนในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้การนำของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ที่ต้องการปฏิรูปกระทรวง โดยเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ไปสู่การพัฒนาศักยภาพให้ผู้สูงอายุกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สูงอายุถึง 13.5 ล้านคน และมีผู้ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจำนวนประชากรวัยเก๋าที่มีศักยภาพอีกมากที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้
การที่ภาคเอกชนหันมาเปิดรับแรงงานผู้สูงอายุมากขึ้นนั้น มีปัจจัยและข้อดีหลายประการสนับสนุน ดังนี้
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว อัตราการเกิดที่ลดลงและอายุขัยเฉลี่ยที่ยาวนานขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และจะกลายเป็น "สังคมสูงวัยระดับสุดยอด" (Super-Aged Society) ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงการมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นแนวโน้มทั่วโลก หลายประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน การที่ภาคเอกชนเริ่มปรับตัวและเปิดรับแรงงานผู้สูงอายุ จึงเป็นแนวทางที่หลายประเทศให้ความสนใจเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม
รัฐบาลไทยเองก็ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ และได้มีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนเปิดรับและรักษาแรงงานกลุ่มนี้ไว้ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้สูงอายุ การพัฒนาทักษะและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังได้ดำเนินการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี 2565 โดยกรมการจัดหางานได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ เช่น การจับคู่ตำแหน่งงาน การฝึกอบรมอาชีพ และการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ