ฐานเศรษฐกิจ เกาะติดสถานการณ์ข้อพิพาททางกฎหมายที่สั่นคลอนอุตสาหกรรมกาแฟสำเร็จรูปของไทย เมื่อยักษ์ใหญ่อาหารโลก "เนสท์เล่" ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งกับ "ตระกูลมหากิจศิริ" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงงานผลิตเนสกาแฟในประเทศ ผ่าน บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) พันธมิตรทางธุรกิจที่ร่วมงานกันมานานกว่า 35 ปี
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งมาจากการที่ "เนสท์เล่" แจ้งยุติสัญญาให้สิทธิ QCP ผลิตเนสกาแฟในไทยตั้งแต่ปี 2564 และมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ต่อมา นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้น QCP ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี จนกระทั่งศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ส่งผลให้เนสท์เล่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าให้กับคู่ค้าได้ในขณะนี้ ซึ่งล่าสุดเนสท์เล่ได้ยื่นคัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาลเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568
ผลกระทบจากข้อพิพาทดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่เข้าร่วมโครงการ "ปลูกด้วยใจ...กาแฟไทยยั่งยืน" ของเนสท์เล่ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 20 ราย
นายสุดใจ คำยอด เกษตรกรชาวสวนกาแฟในโครงการฯ เปิดเผยกับ ผู้สื่อข่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ด้วยความกังวลว่า "ส่วนตัวผมเข้าร่วมโครงการปลูกกาแฟให้เนสท์เล่มากว่า 20 ปี โดยผลผลิตที่ส่งให้ทางบริษัทกว่าปีละ 4-5 ตัน นอกจากนี้ยังมีสมาชิกในโครงการ 20 คนนั้น ผมและทุกคนกังวลว่า เมื่อบริษัทมีปัญหากัน เพราะอย่างงั้นเราก็คิดว่าต่อให้เค้าทะเลาะกันก็ยังคิดว่าเค้ายังกลับมาซื้อกาแฟเหมือนเดิม กาแฟของเรายังส่งให้กับทางเนสท์เล่ได้อยู่อีกรึป่าว"
เช่นเดียวกับ นายประเสริฐ กิตติเวทยางุสรณ์ เกษตรกรอีกรายในโครงการฯ ที่เผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ถึงความสั่นคลอนในเรื่องความเชื่อมั่น
"ผมปลูกกาแฟมากว่า 30 ปี และเข้าร่วมโครงการของเนสท์เลยาวนานเกือบ 20 ปี ในระหว่างที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลประโยชน์มากมายทั้งความรู้ รายได้ ซึ่งต่อปีส่งกาแฟโรบัสต้ากว่า 4-5 ตัน บางปีมีผลผลิตกว่า 10 ตัน ผลกระทบหลังข้อพิพาทคงเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของเกษตรกรว่าต่อจากไป เราจะเอายังไงกันต่อ แต่ก็ไม่มีใครตื่นตูมยังคงรอให้กระบวนการดำเนินไปตามกฎหมาย เนื่องจากเนสท์เล่เองก็มีการใช้เงินประกันเมล็ดกาแฟทุกปีอยู่แล้ว หลังจากนี้ก็ขอแค่การยืนยันถึงความแน่นอนต่อไปในอนาคต"