วงการธุรกิจกาแฟในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความปั่นป่วนครั้งใหญ่ เมื่อบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ยักษ์ใหญ่ในวงการอาหารและเครื่องดื่ม ประกาศหยุดรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ "เนสกาแฟ" ในประเทศไทยตามคำสั่งศาลแพ่งมีนบุรี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เป็นผลมาจากข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ ผู้ร่วมทุนในบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในไทยมานานกว่า 34 ปี
ประเด็นข้อพิพาทข้างต้น แน่นอนว่าผลสุดท้ายจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดกาแฟในประเทศไทย โดยเฉพาะต่อร้านค้าและผู้บริโภคที่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟมายาวนาน เพราะผลจากคำสั่งศาลทำให้สินค้าเนสกาแฟอาจขาดตลาดในระยะสั้น ส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีก ร้านกาแฟ และผู้บริโภคทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคอาจต้องปรับตัวและหันไปเลือกแบรนด์อื่นทดแทนในช่วงที่ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอาจหายไปจากชั้นวางสินค้า
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบข้อมูลบริษัทที่ดำเนินกิจการมาในประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี ที่น่าสนใจดังนี้
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลกที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2536 เปิดเผยข้อมูลงบกำไรขาดทุนล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ในปีการเงิน 2566 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 57,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 56,773 ล้านบาทในปี 2565 คิดเป็นการเติบโต 0.45% โดยมีรายได้หลักจากการขายสินค้า 56,902 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ อีก 126 ล้านบาท
ด้านรายจ่ายรวมในปี 2566 อยู่ที่ 53,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 52,962 ล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยต้นทุนขายอยู่ที่ 40,270 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ 13,222 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนสท์เล่ (ไทย) สามารถทำกำไรสุทธิในปี 2566 ได้ 2,682 ล้านบาท แม้จะลดลงจาก 3,008 ล้านบาท ในปี 2565 หรือคิดเป็นการลดลง 10.8% ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 46 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 150 ล้านบาทในปี 2566
ตัวเลขรายได้รวมของบริษัทเนสท์เล่ (ไทย) แสดงให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 50,366 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 57,028 ล้านบาทในปี 2566 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3.15% ต่อปี
ปี 2565 เป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 8.9% จากปี 2564 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี
ในด้านกำไรสุทธิ แม้ว่าปี 2566 จะมีการลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 แต่เมื่อดูภาพรวม 5 ปี พบว่ากำไรสุทธิของบริษัทเติบโตจาก 2,318 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 2,682 ล้านบาทในปี 2566 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปี
บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 880 ล้านบาท โดยมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นการลงทุนจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด ซึ่งบริษัท โซซิเอเต้ เดส์ โปรดุยต์ส เนสท์เล่ เอส.เอ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 100% (87,999,998 หุ้น) ในขณะที่ เนสท์เล่ เอส.เอ และเอนเตอร์ไพรส์ แม็กกี้ เอส.เอ ถือหุ้นบริษัทละ 1 หุ้น
ส่วนรายชื่อคณะกรรมการบริษัทประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง 4 คน ได้แก่ นายโทมัส เคลเลอร์, นายเซียห์ เฮง ลิม วิคเตอร์, นายเฮยรี่ เดฟริม โคเบค และนายฟิลิปป์ กลาวเซอร์
อย่างไรก็ดีจากข้อพิพาทระหว่างเนสท์เล่ กับตระกูลมหากิจศิริ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบรรษัทข้ามชาติกับพันธมิตรท้องถิ่น ในขณะที่ผลประกอบการของเนสท์เล่ (ไทย) ล่าสุดในปี 2566 ยังคงแข็งแกร่งด้วยรายได้กว่า 57,000 ล้านบาท แต่การหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขในปี 2567 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนข้อสรุปทั้งหมดจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปยาว ๆ