PMT The Hour Glass เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะตัวแทนจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดังระดับโลก จากจุดเริ่มต้นในปี 2551 ที่มีเพียง 2 สาขา เพิ่มเป็น 15 สาขาใน 4 หัวเมืองใหญ่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม รวมถึงจุดจำหน่ายนาฬิกาของพันธมิตรทางธุรกิจแบรนด์สำคัญอย่าง
Rolex, Patek Philippe, Hublot และ Tudor ในปัจจุบันพร้อมกับรายได้ที่เติบโตขึ้น 12 เท่า ส่งผลให้รายได้รวมประจำปีบัญชีที่ผ่านมา สูงกว่า 6,000 ล้านบาท “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “ณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท PMT The Hour Glass ผู้ก่อตั้ง บุกเบิกและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้
“ณรัณ” บอกว่า PMT เป็นเพียงไม่กี่บริษัทในวงการนาฬิกาของโลกที่สามารถร่วมงานกับแบรนด์ได้หลายระดับตั้งแต่ Global Brands อย่าง Rolex, Patek Philippe, Hublot และ Tudor ไปจนถึงแบรนด์นาฬิกาช่างฝีมือระดับสูง (Artisanal Watch brand) อย่าง F.P.Journe, MB&F, URWERK, และ Akrivia ที่ผลิตนาฬิกาเพียงไม่กี่เรือนต่อปี เพราะ PMT สามารถมองเห็น “Future winner” ในอุตสาหกรรมนาฬิกา และนำแบรนด์เหล่านั้นเข้ามาทำตลาดตั้งแต่ยังไม่เป็นที่รู้จัก เช่น Hublot
“ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาเราเชื่อว่าว่าเหตุผลสำคัญที่ลูกค้าให้การสนับสนุนและให้ความเชื่อมั่น เพราะเชื่อว่าเรารู้จักวิธี identify และคัดเลือกเหล่า Winner ในอุตสาหกรรมนาฬิกามาเป็นแบรนด์ partner และเราก็เชื่อว่าเหล่า Winner ในอุตสาหกรรมนาฬิกาทุกแบรนด์อยากจะร่วมงานกับแบรนด์ที่ทำงานด้วยความตั้งใจมี passion และสามารถสร้างแวลูให้กับพวกเขาได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ได้รับความไว้วางใจแบรนด์พาร์ทเนอร์ให้บริหาร Patek Philippe Flagship Store ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและ point of sale ของ Patek Philippe จำนวน 3 แห่งซึ่งมากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งบริหาร Point of Sale ของ Rolex มากที่สุดในประเทศไทยจำนวน 5 แห่ง และอีก 1 Point of Sale ในประเทศเวียดนามซึ่งจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้”
สำหรับก้าวต่อไปของ PMT The Hour Glass ณรัณได้วางเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขาโดยแบ่งเป็นการขยายในประเทศไทย 2 สาขา และเวียดนาม 3 สาขาในฮานอยและโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตามผู้บริหารให้มุมมองการขยายธุรกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะต่างจังหวัดของ PMT ที่อาจไม่หวือหวามากนักเพราะมีเพียงสาขาเดียวในภูเก็ตว่า
ในการขยายสาขาต่างจังหวัดจะต้องศึกษาความพร้อมของตลาดอย่างน้อย 3-5 ปีทั้งมุมของความพร้อมของตลาดและอินฟราสตรักเจอร์ด้วย เช่นการเปิดสาขาภูเก็ตในช่วงเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มเซ็นทรัลลงไปเปิดCentral Phuket Floresta ทำให้เกิดอินฟราสตรักเจอร์ที่เป็นการรวบรวมลักชัวรีแบรนด์ อื่นๆไว้ด้วยกัน ทำให้คนในพื้นที่สามารถเข้าไปช้อปปิ้งและศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์นาฬิกาได้
เช่นเดียวกับการขยายตลาดต่างประเทศซึ่ง PMT เลือกเวียดนามเป็นประเทศแรก ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปลงทุน PMT ใช้เวลาในการศึกษาตลาดกว่า 5 ปีทำให้เห็นศักยภาพของเวียดนามทั้งจำนวนประชากรมากกว่า 1,000 ล้านคน การเติบโตของ GDP ในช่วงโควิดมากกว่า 7% และอายุเฉลี่ยของคนเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 30 ต้นๆ มีแพชชั่นในนาฬิกาและสินค้าลักชัวรี และนอกจากเมืองหลักอย่างฮานอยและโฮจิมินห์แล้วยังมีเมืองตากอากาศที่น่าสนใจ
“ผมเชื่อว่า Brand Partner เห็น passion ในการทำงานของเรา ชอบในวิธีการบริหาร วิธีสร้างการตลาด วิธีการสร้างทีมและสร้างแวลูให้กับแบรนด์ของเขาในประเทศไทยและอยากให้เราไปสร้างและสานสิ่งที่เราทำในประเทศไทยไปยังประเทศเวียดนาม
ไม่ว่าจะเป็น service standard ที่เรา customize เพื่อลูกค้าของเราโดยเฉพาะหรือ Customer Experience Management System ที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักลูกค้าและให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การบริหารที่มีประสิทธิภาพและการบริการที่มีแพชชั่นก็ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์พาร์ทเนอร์ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
การที่เราจะไปลงทุนจังหวัดหรือประเทศใดก็ตามจะต้องศึกษาศักยภาพของตลาด ซึ่งตอนนี้เรามองจังหวัดอื่นๆในไทยและประเทศอื่นในอินโดไชน่า แต่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีที่จะถึงนี้ยังมีโอกาสอย่างมากที่จะขยายในไทยและเวียดนาม เพราะฉะนั้นเราจะยังโฟกัสใน 2 ตลาดนี้เป็นหลัก”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,901 วันที่ 2 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2566