กัมพูชาเป็นประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยมีจุดเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ปัจจุบันนักลงทุนไทยเริ่มเข้าขยายฐานลูกค้ามากยิ่งขึ้น “อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ” ลุยจัดงาน “อินเตอร์เนชันแนล เมกะ แฟร์” (International Mega Fair 2024) เมื่อวันที่ 2-4 ส.ค.2567 ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการเกาะเพชร กรุงพนมเปญ ซึ่งประกอบด้วย 3 งาน ได้แก่
นายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา มีการขยายตัวค่อนข้างดีมากในปี 2567 ซึ่งมีอัตราเติบโตกว่า 6% นอกจากนี้ประเทศยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้าน โดยเฉพาะระบบโลจิสติกส์ เช่น ทางด่วนสายพนมเปญ-สีหนุวิลล์ ที่สร้างเสร็จแล้ว และมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง อาทิ เส้นทางจากพนมเปญ-บาเวต ซึ่งหากแล้วเสร็จ จะทำให้สินค้าที่นำมาจำหน่ายในกัมพูชาถูกลงปลุกการใช้จ่าย
ปัจจุบันประเทศกัมพูชา มีประชากร 17.8 ล้านคน โดยเฉลี่ยอายุ 20-27 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานที่มีสัดส่วนถึง 40% เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อถือเป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนและนำสินค้าเข้ามาขายในประเทศ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีนักธุรกิจซึ่งเป็นทุนจากประเทศไทยเข้ามาทำตลาดในกัมพูชา อยู่จำนวนมากประมาณ 7 กลุ่มได้แก่
นอกจากนี้ ไทยถือว่าอยู่อันดับที่ 6 ที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชา รองลงมาจากจีน เกาหลี สหราชอาณาจักร เวียดนาม และมาเลเซีย ส่วนการค้าขาย ไทยอยู่อันดับ 4 รองจากจีน เวียดนาม และมาเลเซีย
ด้านการลงทุน กัมพูชาเป็นประเทศที่สามารถเข้ามาลงทุนได้ 100% และสามารถนำเงินกลับประเทศได้ 100% การมีพันธมิตรเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการลงทุน แต่ไม่มีพาร์ตเนอร์ นักลงทุนก็สามารถลงทุนได้ 100% แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น เมื่อเข้ามาลงทุน จะทำอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับของท้องถิ่นให้ได้ ซึ่งการเข้ามาลงทุนในกัมพูชา นอกจากนักลงทุนไทยต้องศึกษาตลาดแล้ว ต้องศึกษาความต้องการผู้บริโภค
นายธวัชชัย เศรษฐจินดา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานหอการค้าภาคกลาง เปิดเผยว่า 2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทนออกมาลงในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสการลงทุนในประเทศไทยได้กำไรน้อย จึงยอมออกมาลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้มีบริษัทใหญ่กล้าเข้ามาลงทุน และเริ่มมี SME เข้ามา โดยเฉพาะธุรกิจหมวดอาหารและหมวดสุขภาพ ซึ่งในมุมมองการทำตลาดต่างประเทศ CLMV ถือว่าเป็นตลาดเหมาะกับการทดลองสนาม
เนื่องจากภาพลักษณ์ของสินค้าไทยค่อนข้างดี สินค้ามีคุณภาพ และมองว่า SME จะเจออุปสรรคค่อนข้างน้อย ทั้งเรื่องการสื่อสารทางภาษา การขนส่งโลจิสติกค่อนข้างสะดวก และเราควรจะมีการโปรโมทให้ SME มาทดลองขายในตลาดแล้วค่อนขยายกิจการในโซนเอเชีย โซนยุโรป
ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าเป็นเซ็นเตอร์ใหญ่ในตลาด CLMV อย่างไรก็ตามต้องมีการปรับความสามารถการแข่งขัน ผู้ประกอบการตั้งเลือกการลงทุนให้เข้าบริบทของตนเอง และควรมีพาร์ทเนอร์ การสร้างความแตกต่างของแบรนด์ ซึ่งหากดูเศรษฐกิจของกัมพูชา ปี 2566 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 6% จึงเป็นโอกาสในการที่จะลงทุน
เกรียงไกร กาญจนโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า การทำธุรกิจจัดอีเวนต์ของอินเด็กซ์ เน้นหาตลาด Blue Ocean มองธุรกิจที่มีโอกาสและความต้องการตลาด รวมถึงดูฐานลูกค้าเพื่อต่อยอดการเติบโต การจัดงาน “อินเตอร์เนชันแนล เมกะ แฟร์” ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจต่อธุรกิจ(B2B) ปีนี้ถือว่าจัดใหญ่ขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมา โดยมีพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) จากเดิม 3,000-4,000 ตารางเมตร มีผู้ประกอบการร่วมงานกว่า 100 ราย และผู้เข้าชมงานหลักพันคน
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการไทยมาเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก และเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ เช่น เครื่องสำอางมิสทิน โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ห้างค้าปลีกส่งแม็คโคร กลุ่มอำพลฟู้ดส์ พิมรี่พาย โรงพยาบาลเมดพาร์ค นอกจากนี้ยังมีบูธของประเทศต่าง ๆ เช่น ธุรกิจด้านความงามจากเกาหลี ธุรกิจเกษตรจากมาเลเซีย เข้าร่วมงาน ซึ่งการจากการนำเสนอธุรกิจของแต่ละราย ส่วนใหญ่ต้องการพันธมิตร เพื่อขยายความร่วมมือทางการค้าในประเทศกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักธุรกิจไทยต้องออกจากคอมฟอร์ทโซนมาขยายตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และตลาดกัมพูชามีความน่าสนใจ หากยังไม่กล้าลงทุนก็ลองเข้ามาสำรวจตลาดก่อน