คลังกระทุ้งแบงก์พาณิชย์ “ลดดอกเบี้ย” ช่วยประชาชน

22 มี.ค. 2567 | 04:45 น.

คลังเผยเศรษฐกิจอ่อนแอ ชี้ที่ผ่านมาแบงก์รัฐช่วยประชาชนแล้วกว่า 4 แสนล้านบาท เล็งชงครม.ออกสินเชื่ออีก 5 โครงการ ส่งสัญญาณแบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ย พักหนี้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า  สถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตในอัตราชะลอตัว ซึ่งคาดการณ์ว่าปี 2567 เศรษฐกิจจะเติบโต 2.8% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับสูงที่ 2.5% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ และชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แม้ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาสินค้ากลุ่มพลังงานที่ลดลงตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เป็นการบ่งชี้ถึงกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ สถานการณ์ดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่ม ทำให้มีภาระผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ศักยภาพในการหารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น กระทบขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กระทบการส่งออก และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประชาชนและผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบตามที่ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนทั้ งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ

และในครั้งนี้จะเป็นการรวมตัวกันของแบงก์รัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยดำเนินการลดหรือตรึงดอกเบี้ย พร้อมทั้งจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงจนเกินไป

“ที่ผ่านมาแบงก์รัฐทุกแห่งได้ช่วยกันตรึงดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปี 2565 และชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นหลายครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ส่งผลให้ที่ผ่านมา แบงก์รัฐมีการลดภาระประชาชนแล้วไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท”

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังยังได้เตรียม 5 โครงการสินเชื่อสถาบันการเงินของรัฐ เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงต้นเดือนเม.ย.67 เพื่อดูแลประชาชนเพิ่มเติม ได้แก่

1. สินเชื่ออิกไนท์ ไทยแลนด์  (IGNITE THAILAND) ดำเนินการผ่านธนาคารออมสิน สนับสนุนให้เอสเอ็มอีอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์เข้าถึงสินเชื่อ อาทิ กลุ่มศูนย์กลางการท่องเที่ยว สินเชื่อศูนย์กลางการแพทย์ และศูนย์กลางอาหาร

2. โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน สำหรับผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอยู่กว่า 13 ล้านคน โดยธนาคารออมสินได้เตรียมวงเงินไว้ให้ผู้มีสิทธิดังกล่าวเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ

3.สินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

4. สินเชื่อที่อยู่อาศัย จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

5. สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการส่งออก จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

สำหรับการรวมตัวของแบงก์รัฐเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญานไปถึงธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ให้หันมาช่วยเหลือลูกหนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การลดดอกเบี้ย การพักหนี้ การช่วยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยลดภาระให้ประชาชน เพิ่มสภาพคล่องมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“การลดดอกเบี้ย 0.25% จะช่วยสนับสนุนการบริโภคเพิ่มขึ้น 0.15% และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 0.16%”

อย่างไรก็ดี ในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจดังกล่าว นอกจากการขับเคลื่อนมาตรการของภาครัฐซึ่งเป็นมาตรการกึ่งการคลังแล้ว ยังต้องอาศัยการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเริ่มเห็นสัญญาณหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงินของรัฐที่ดูแลด้านที่อยู่อาศัย และเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7% ส่วนสัดส่วน SM ของแบงก์รัฐทั้งหมดอยู่ที่ 5%