เก็บ “ภาษีความมั่งคั่ง” จากคนรวย ทำได้จริง ?

16 มี.ค. 2567 | 10:15 น.

“โจ ไบเดน” ผลักดันแผนเก็บภาษีความมั่งคั่งกับคนรวย หากชนะเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ท่ามกลางคำถามว่า การเก็บ “ภาษีความมั่งคั่ง” จากคนรวยที่ทั่วโลกกำลังพยายาม ทำได้จริงหรือไม่

กลุ่มนักรณรงค์ระดับนานาชาติพยายามผลักดันให้เก็บ "ภาษีความมั่งคั่ง" มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเรียกร้องต่อการประชุมระดับโลกหลายครั้งที่ผ่านมา

ยกตัวอย่างเช่น การประชุม World Economic Forum 2023  เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อ็อกแฟม (Oxfam) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เผยแพร่รายงานที่มีใจความสำคัญเป็นการเรียกร้องให้ผู้มั่งคั่งจ่ายภาษีมากขึ้น และตัวแทนของอ็อกแฟมเดินทางไปชุมนุมที่เมืองดาวอสเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เก็บภาษีจากผู้มั่งคั่งที่สุด 1% แรกของประเทศในอัตรา 60% ของรายได้ และเพิ่มอัตราภาษีสำหรับเศรษฐีระดับรองลงไปด้วย

 

ขณะที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงการคลังทั่วโลกประชุมสุดยอด G20 ในบราซิล ระบุว่า กำลังสำรวจแผนการเก็บภาษีขั้นต่ำทั่วโลกสำหรับมหาเศรษฐีพันล้าน 3,000 รายทั่วโลก เพื่อให้แน่ใจว่ามหาเศรษฐี 0.1% จะจ่ายส่วนแบ่งที่ยุติธรรมให้กับสังคม

แนวคิดดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกด้วย ในช่วงต้นปี 2024 เครือข่ายที่กำลังเติบโตของ "กลุ่มเศรษฐีผู้รักชาติ" ลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำโลก เรียกร้องให้เก็บภาษีที่สูงขึ้นสำหรับคนมีฐานะ ในบรรดาผู้ลงนาม 260 รายได้แก่ อาบิเกล ดิสนีย์ ทายาทของดิสนีย์ และ ไบรอัน ค็อกซ์ ดาราจากเรื่อง Succession

แต่ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นในเรื่องประสิทธิผลของภาษีความมั่งคั่ง และความเป็นจริงว่าจะทำได้จริงแค่ไหน 

สำนักข่าว cnbc รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีตั้งข้อสังเกตว่า แม้แต่นโยบายภาษีความมั่งคั่งที่ออกแบบมาอย่างดีก็ยังบังคับใช้ในทางปฏิบัติได้ยาก โดยมีคำถามเกิดขึ้นว่าทรัพย์สินใดควรเก็บภาษี และใครควรเป็นผู้รับผิดชอบในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเหล่านั้น 

ขณะที่นักวิจารณ์ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการอพยพย้ายถิ่นฐานในหมู่มหาเศรษฐี ซึ่งจะเป็นบ่อนทำลายความพยายามเริ่มแรกในการเพิ่มเงินกองทุนของรัฐบาล

ในปี 2022 นอร์เวย์เพิ่มภาษีความมั่งคั่งสำหรับผู้อยู่อาศัยที่มีทรัพย์สินมากกว่า 20 ล้านโครนนอร์เวย์ (1.8 ล้านดอลลาร์) หลายคนแห่กันไปที่สวิตเซอร์แลนด์ การวิจัยของหนังสือพิมพ์ Dagens Naeringsliv ระบุว่า มหาเศรษฐีและมหาเศรษฐีชาวนอร์เวย์มากกว่า 30 คนออกจากนอร์เวย์ในปีดังกล่าว ซึ่งมากกว่าจำนวนมหาเศรษฐีทั้งหมดที่เดินทางออกนอกประเทศในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาษีความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายรับจากภาษีหลายสิบล้าน

เดอะการ์เดียน รายงานว่า ตามกฎหมายนอร์เวย์ เศรษฐีที่ร่ำรวยจะต้องเสียภาษีความมั่งคั่ง 2 ต่อ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ประกอบด้วยภาษีเทศบาล 0.7% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมุลค่าเกิน 1.7 ล้านโครน (5.5 ล้านบาท) สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ 3.4 ล้านโครน (11 ล้านบาท) สำหรับผู้ที่มีคู่สมรส

ยังมีอัตราภาษีความมั่งคั่งในระดับรัฐอีก 0.3% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 1.7 ล้านโครน และได้เพิ่มอัตราภาษีความั่งคั่งของรัฐเป็น 0.4% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านโครน (65 ล้านบาท) สำหรับบุคคลธรรมดา และ 40 ล้านโครน (131 ล้านบาท) สำหรับคู่รัก ทำให้เศรษฐีอาจต้องเสียภาษีความมั่งคั่งสูงสุดที่ 1.1%

อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีความมั่งคั่งกับบรรดามหาเศรษฐีระดับโลกกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง หลังประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะดำเนินมาตรการ "ภาษีมหาเศรษฐี" ใหม่กับเหล่าผู้มั่งคั่งของสหรัฐฯ หากได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกครั้งในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. โดยเน้นย้ำแผนการเก็บภาษี 25% สำหรับชาวสหรัฐที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์

ภายใต้ข้อเสนอของไบเดน จะสามารถระดมทุนได้ 5 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี เพื่อช่วยกองทุนสวัสดิการ เช่น ค่าดูแลเด็ก และการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร จะทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยสำหรับมหาเศรษฐี 1,000 คนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 8.2% และสอดคล้องกับอัตราภาษี 25% ที่จ่ายโดยคนงานชาวอเมริกันโดยเฉลี่ย ตามข้อมูลของไบเดน

ที่มา