จี้ 4 กระทรวงเอาจริง จับมือผลิตแรงงานคุณภาพ เพิ่มขีดแข่งขันประเทศ

16 ก.ย. 2566 | 10:10 น.

ประธานหอการค้าไทยจี้ 4 กระทรวงเอาจริง จับมือผลิตแรงงานตรงความต้องการของตลาด เพิ่มขีดแข่งขันประเทศ ชี้รัฐบาลแจกเงินดิจิทัล 5.6 แสนล้าน พ่วงปีหน้าดันส่งออกพลิกบวก 3-5% ท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่อง ต่างชาติเชื่อมั่นเข้ามาลงทุน จีดีพีไทยมีสิทธิ์โตได้ถึง 5%

รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อใช้เป็นเข็มทิศในการขับเคลื่อนประเทศ  โดยนโยบายเร่งด่วนมี 4 เรื่องได้แก่ 1. การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน 2.การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน โดยจะลดราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที

3.ผลักดันการสร้างรายได้จากการเพื่อสร้างรายได้และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  เช่น การแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท 56 ล้านคน รวม 5.6 แสนล้านบาท และ 4.การจัดทำประชามติเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ส่วนระยะกลาง จะเปิดประตูการค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา อเมริกาใต้ การเร่งการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ (FTA) การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านบีโอไอ และสำนักงานอีอีอีซีเพื่อดึงดูดการลงทุน เป็นต้น

สนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในส่วนของการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ หากปรับขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี ตรงนี้เป็นส่วนที่ภาคเอกชนสนับสนุนอยู่แล้ว ส่วนนโยบายการขึ้นค่าแรง 600 บาท ภายในปี 2570 หอการค้าฯ มองว่าควรเพิ่ม Productivity ของแรงงานควบคู่ไปพร้อมกัน

“ทั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกับรัฐมนตรีแรงงาน คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ ถึงข้อห่วงใยของภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการไตรภาคีในการกำหนดค่าแรงที่เหมาะสมในแต่ละจังหวัด และเห็นว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ควรขึ้นเท่ากันทั่วประเทศ”

โดยหลังจากนี้จะมีการหารือกำหนดแนวทางความเหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศร่วมกับกระทรวงแรงงานต่อไป ซึ่งในส่วนของการยกระดับ Productivity ของแรงงานไทยตั้งแต่เยาวชน แผนงานที่มีการเจรจา MOU ระหว่าง 4 กระทรวง ทั้ง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ตรงนี้เชื่อว่าจะทำให้การผลิตแรงงานให้ตรงความต้องการของตลาดและสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้ต่อไปแน่นอน

ขณะที่นโยบายที่รัฐบาลแถลงส่วนใหฯตรงกับสิ่งที่หอการค้าฯ ได้นำเสนอไว้ โดยเฉพาะระยะสั้นที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ รวมทั้งเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

1.ในเรื่องของการแก้หนี้ เห็นด้วยที่จะต้องขยายมาตรการพักหนี้สำหรับผู้ที่ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด และเร่งช่วยให้ SMEs ที่ยังรอดอยู่เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเป็นการต่อยอดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

2.ด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นเรื่องเร่งด่วยที่ต้องทำเพื่อให้ปีนี้เศรษฐกิจกลับมาและกระจายรายได้ให้ทั่วถึง โดยตนเพิ่งกลับมาจากประเทศเวียดนามซึ่งเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนมาที่ประเทศเวียดนามจำนวนมาก ดังนั้นไทยต้องเร่งทำเนินมาตราการ ทั้งเพิ่มเที่ยวบิน e-VISA และฟรีวีซ่า ให้เร็วเพื่อจับโอกาสช่วงฤดูท่องเที่ยวไตรมาสสุดท้ายนี้

3.เรื่องลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ให้ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ อยากเน้นนโยบายที่ทำได้จริงทันที เพื่องเร่งการลดภาระและต้นทุน เพื่อไม่ให้ส่งไปต่อผู้บริโภค โดยเห็นด้วยที่จะดำเนินการทำทันที

4.สำหรับเรื่องการเปิดตลาดต่างประเทศ ทางหอการค้าฯได้เสนอแผนให้นายกฯ Roadshow คู่กับภาคธุรกิจ ในตลาดเดิมก่อน เพื่อดึงเรื่องการค้า และการลงทุน และใช้ประโยชน์จาก FTA ที่เรามีไว้อยู่แล้วให้มากขึ้น สำหรับตลาดใหม่ยังใช้เวลาและจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของแต่ละประเทศที่ให้เหมาะสม เพื่อจะได้ Strategic Countries ที่เป็นคู่ค้าและคู่ลงทุนร่วมกัน

5.การดึงดูดการลงทุน ทั้งในส่วนของ BOI และ EEC อยากให้รัฐบาลออกมาให้ความมั่นใจ กับความชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร เพราะในส่วนนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต  รวมถึงส่งเสริมเรื่อง Ease of Investment

ต่อคำถามที่ว่า จากนโยบายของรัฐบาลข้างต้น รวมถึงนโยบายเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต มองว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ถึง 5% ในปี 2567 ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่

นายสนั่น กล่าวว่า หากมองพื้นฐานเศรษฐกิจไทยภายใต้การเติบโตตามศักยภาพบวกกับมาตรการหลักๆ อย่างการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ให้กับประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ราว 56 ล้านคน ใช้เม็ดเงิน 5.6 แสนล้านบาท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินไว้เบื้องต้นว่าเม็ดเงินทุก ๆ 1.2-1.5 แสนล้านบาท ที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทันที จะช่วยกระตุ้นจีดีพีได้ 1%

ดังนั้น มาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อการขยายตัวของจีดีพีเพิ่มเติมในปีหน้าได้อีก 2-3% จากการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจทั้งการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่มีปัจจัยแทรกซ้อนและปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics) ไม่รุนแรงไปมากกว่านี้

รวมถึงการขยายตัวของการส่งออกไทยในปีหน้าหากอยู่ในกรอบ 3-5% น่าจะทำให้เศรษฐกิจ หรือจีดีพีของไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ที่ 5% ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชน ในการผลักเศรษฐกิจให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่คาดไว้ รวมถึงต้องมีการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ให้เหมาะสม ซึ่งหากงบประมาณมีจำกัด ภาคเอกชนก็ยังมองว่าต้องมุ่งช่วยไปยังคนที่จำเป็นและเดือนร้อนก่อน

ต่อกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติปรับลดราคาพลังงาน ที่สำคัญคือ การปรับลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย(จากเดิม 4.45 บาทต่อหน่วย)มีผลในรอบบิลเดือนกันยายนนี้

ประธานกรรมการหอการค้าไทย ชี้ว่า การพิจารณาและตัดสินใจปรับลดค่าไฟฟ้าลงทันทีเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและลดต้นทุนผู้ประกอบการ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้คงต้องคำนึงถึงภาระทางการคลังของรัฐบาลด้วย ซึ่งในระยะกลางและยาว เอกชนอยากขอให้รัฐบาลดำเนินการยกเครื่องโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้สอดคล้องกับทิศทางความต้องการและรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในราคาที่เหมาะสมและทำให้ประเทศสามารถแข่งขันได้

ที่ผ่านมา คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีการหารือและแสดงความกังวลภาระต้นทุนของผู้ประกอบการที่อยู่ในระดับสูงมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นทุนค่าไฟฟ้า ซึ่งหากพิจารณาจากความสามารถในการแข่งขันของประเทศเทียบกับประเทศข้างเคียงเช่นเวียดนามในมุมของค่าไฟที่อยู่ประมาณ 2.88 บาทต่อหน่วย

“ภาคเอกชนอยากให้มีการพิจารณาจัดตั้ง กรอ.พลังงาน ซึ่งจะมีผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เข้าไปมีส่วนสะท้อนปัญหาและเสนอทางออกในการปรับปรุงโครงสร้างพลังงานประเทศไปในทิศทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ต่อไป” นายสนั่น กล่าว