ดัน”จันทบุรี เมืองหลวงผลไม้ไทย”Soft Power ไทยไปจีน

12 ก.ค. 2566 | 04:12 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ค. 2566 | 04:17 น.

“พาณิชย์” ส่ง Soft Power ไทยไปจีน โชว์”จันทบุรี เมืองหลวงผลไม้ไทย” ในงาน CAEXPO ที่หนานหนิง ก.ย.นี้ สร้างรายได้ให้ประเทศ

นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่นางช่าย ลี่ซิน รองประธานเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ขอเข้าหารือกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนความร่วมมือและความสัมพันธ์ด้านการค้าของทั้งสองฝ่าย

ดัน”จันทบุรี เมืองหลวงผลไม้ไทย”Soft Power ไทยไปจีน

เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา และได้เชิญตัวแทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมงาน The 20th China – ASEAN Expo (CAEXPO 2023) ที่หนานหนิง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-19 กันยายนนี้นั้น 

นายจุรินทร์ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ตอบรับเข้าร่วม โดย กระทรวงพาณิชย์จะนำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานประมาณ 80 คูหา ในสินค้าประเภท อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นและเครื่องประดับ สุขภาพและความงาม ของใช้และของตกแต่งบ้าน

ดัน”จันทบุรี เมืองหลวงผลไม้ไทย”Soft Power ไทยไปจีน

“และจะมีไฮไลท์คือจะแสดงภาพลักษณ์ของประเทศใน Pavilion of Cities of Charm โดยปีนี้ได้คัดเลือกจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีมนต์เสน่ห์ของไทย มีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลไม้อันดับหนึ่งของไทย มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามและยังเป็นประตูสู่การค้าชายแดนกับประเทศกัมพูชาและเวียดนาม โดยรูปแบบการนำเสนอจะเน้นการประชาสัมพันธ์ด้าน Soft Power ในอาหารไทยท้องถิ่นและสินค้าเกษตรเป็นหลัก เพื่อช่วยส่งเสริมการสร้างรายได้ให้ประเทศ”

ดัน”จันทบุรี เมืองหลวงผลไม้ไทย”Soft Power ไทยไปจีน

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงเป็น “ ประตูสู่อาเซียน” ของจีน เนื่องจากมีความได้เปรียบด้านที่ตั้งและมีเส้นทางการขนส่งเชื่อมต่อภาคอีสานของไทย (สาย R8 R9 และ R12) โดยเส้นทาง R12 จากนครพนมไปยังด่านหูหงิ(จ.ลางเซิน เวียดนาม) เข้าสู่ด่านโหย่วอี้กวน(จีน) เป็นเส้นทางขนส่งผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีระยะทางที่สั้นที่สุดและสะดวกต่อการรับและกระจายสินค้าในฝั่งจีนซึ่งกว่างซีจ้วงเป็นมณฑลที่มีการนำเข้าผลไม้จากอาเซียนมากที่สุดในจีน โดยในปีนี้ ม.ค.-พ.ค.2566 ไทยได้ส่งออกไปจีนแล้วมูลค่ากว่า 485,064 ล้านบาท