ส่งออกอาหารไตรมาส1/66 โต 10% ลุ้นฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก

10 พ.ค. 2566 | 04:31 น.

3 อุตสาหกรรมอาหารเผยไตรมาสแรกปี 6 ส่งออกสินค้าอาหารโต 10% จากความต้องการสินค้าอาหารในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น  ลุ้นปีนี้ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดประเทศพัฒนา  เงินเฟ้อ ค่าเงินผันผวน ต้นทุนการผลิตสูง และภัยแล้ง มั่นใจทั้งปี โต 2.1%

 

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า จากการที่เศรษฐกิจหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนี้ ความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ภัยสงคราม สภาพอากาศร้อนและความแห้งแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จีนเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการ Zero-COVIDได้เกื้อหนุนการส่งออกอาหารไทยให้ขยายตัว คาดปี 2566 ส่งออกอาหารไทยยังแข็งแกร่งฝ่าวิกฤติรอบด้าน
ลุ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร โดย สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสถาบันอาหาร เผยข้อมูลอุตสาหกรรมอาหารของไทยไตรมาสแรกและแนวโน้มปี 2566 มีตัวแทนหลักของทั้ง 3 องค์กร

 

นางอนงค์  ไพจิตรประภาภรณ์  ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่าในไตรมาสแรกปี 2566 การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่คาดว่าการส่งออกจะหดตัวในไตรมาสที่ 2 และกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในครึ่งปีหลัง สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในไตรมาสแรกปี 2566 มีมูลค่า 346,379 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น10%

นางอนงค์  ไพจิตรประภาภรณ์  ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าอาหารในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น จากการที่เศรษฐกิจหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 นอกจากนี้ ความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร ภัยสงคราม สภาพอากาศร้อนและความแห้งแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงการที่จีนเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ได้เกื้อหนุนการส่งออกอาหารไทยให้ขยายตัวกลุ่มสินค้าที่การส่งออกขยายตัวดีในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 อาทิ น้ำตาลทราย ข้าว ไก่ ผลไม้สด

ส่งออกอาหารไตรมาส1/66 โต 10%  ลุ้นฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก

 โดยการส่งออกน้ำตาลทรายมีมูลค่า 40,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.3% เนื่องจากหลายประเทศกังวลปัญหาขาดแคลนอาหารจึงสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อย่างอินเดียได้ต่ออายุมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำตาลออกไปอีก 1 ปี

ส่งออกอาหารไตรมาส1/66 โต 10%  ลุ้นฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก

ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ดังกล่าว การส่งออกข้าวมีมูลค่า 38,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.2 เนื่องจากผลผลิตข้าวที่มีจำกัดในประเทศผู้ผลิตและส่งออกสำคัญและความกังวลขาดแคลนอาหาร ทำให้ประเทศผู้บริโภคเสริมสต็อกข้าวเพิ่มขึ้น การส่งออกไก่มีมูลค่า 36,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7 %โดยเป็นไก่สดแช่แข็งที่ส่งออกไปจีนเป็นหลัก ส่วนไก่แปรรูปขยายตัวดีในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ขณะที่การส่งออกผลไม้สดมีมูลค่า 27,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น59.4 % จากการส่งออกไปตลาดจีนเป็นหลัก หลังจีนยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ทำให้ระยะเวลาขนส่งสินค้าสั้นลง ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าส่งออกหลักหลายรายการหดตัวลง ส่วนใหญ่ประสบปัญหา 2 ด้าน คือ วัตถุดิบมีปริมาณลดลง ราคาปรับตัวสูงขึ้น เช่น แป้งมันสำปะหลัง กุ้ง สับปะรด และ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในกลุ่มประเทศพัฒนาอย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลทำให้สินค้าที่พึ่งพิงตลาดหลักดังกล่าวหดตัวลง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องปรุงรส เป็นต้น นอกจากนี้ เงินเยนญี่ปุ่นที่อ่อนค่าต่อเนื่อง กระทบความสามารถในการนำเข้าของญี่ปุ่น ส่งผลทำให้สินค้าอาหารส่งออกของไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นหลายรายการหดตัวลงค่อนข้างมาก อาทิ ไก่ (-6%), กุ้ง (-20%), สับปะรด (-40%), เครื่องปรุงรส (-40%) เป็นต้น แม้ว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จะหดตัวลงจากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงเงินเยนอ่อนค่ากรณีตลาดญี่ปุ่น แต่การส่งออกสินค้าไปยังตลาดตลาดรองหรือตลาดใหม่ เช่น เอเชียใต้ กลุ่มประเทศอ่าว (GCC) ละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศประชาคมรัฐเอกราช (CIS) ขยายตัวในระดับสูง รอการรุกตลาดและเพิ่มพูนปริมาณการค้าอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต

สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 2566 ว่า การส่งออกสินค้าอาหารจะหดตัวลงในไตรมาสที่ 2 จากฐานการส่งออกที่สูงในปีก่อน แต่จะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 หรือในครึ่งปีหลังของปี 2566 โดยในช่วงครึ่งปีแรกคาดว่าไทยจะส่งออกสินค้าอาหารมูลค่า 734,459 ล้านบาท ลดลง1% และกลับมาขยายตัวได้5.2% ในครึ่งปีหลัง มูลค่าส่งออก 765,541 ล้านบาท ภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีมูลค่า 1,500,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.1% ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะเป็นสถิติส่งออกสูงสุดครั้งใหม่ (New high) ของการส่งออกอาหาร

โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก ภาครัฐมีนโยบายฟื้นฟูและการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว บริการ  การค้าและการลงทุน   การขาดแคลนอาหารตลอด Supply Chain ทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มสูงขึ้นในตลาดประเทศกำลังพัฒนาและตลาดในภูมิภาคตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19  ความกังวลเรื่องความมั่นคงอาหาร (Food Safety)
ทำให้หลายประเทศและผู้บริโภคมีความต้องการสำรองอาหารเพิ่มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยมีคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย ตลอดจนสามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มา ซึ่งเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้นำเข้าทั่วโลก และ  จีนเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ทำให้ปริมาณการค้าเพิ่มสูงขึ้น ระยะเวลาในการขนส่งสั้นลง โดยเฉพาะสินค้าที่มีตลาดทางตอนใต้ของจีน เช่น ไก่แช่แข็ง เป็นไปด้วยความสะดวกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้การส่งออกไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ได้แก่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากราคาพลังงาน อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส เป็นต้นความกังวลของเศรษฐกิจไทยอันเนื่องมาจากความผันผวนของค่าเงิน  ความกังวลภาวะเศรษฐกิจและปัญหาภาคธนาคารของสหรัฐฯ กระทบกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค  เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนญี่ปุ่น และความสามารถในการนำเข้าสินค้าจากภายนอก ภาวะเงินเฟ้อยังคงกดดันกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาที่เป็นตลาดหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และ ผลผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญลดปริมาณลง และราคาปรับตัวสูง เช่น สับปะรดโรงงาน หัวมันสำปะหลัง กุ้ง ปลาทูน่า เป็นต้น

ส่งออกอาหารไตรมาส1/66 โต 10%  ลุ้นฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า อุตสาหกรรมอาหารคือรากฐานและเป็น Soft power ของประเทศ หากได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนฐานราก ท้ายที่สุดจะช่วยยกระดับประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้สูง (High-income countries) ดังนั้น จึงฝากข้อเสนอสำหรับรัฐบาลใหม่ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ โดยเน้นเป้าประสงค์ 3 ข้อพร้อมมาตรการสนับสนุน ดังนี้

1) ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีภูมิคุ้มกันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงโลก สนับสนุนการทำเกษตรแบบรวมผลิต รวมจำหน่าย (เกษตรแปลงใหญ่หรือสหกรณ์) สนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการให้เข้าถึงนวัตกรรม เทคโนโลยี แหล่งเงินทุน และมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้สนับสนุนแหล่งเงินทุนเพื่อผลักดันผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตยั่งยืน และเป็นแกนกลางสำคัญในการขยายเครือข่ายความร่วมมือไปสู่ระดับการผลิตต้นน้ำในระดับฐานราก

2) สร้างระบบการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน ภายใต้ BCG โมเดลสนับสนุนนโยบายการดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดล BCG & ESG ให้สามารถเปลี่ยนถ่ายได้โดยไม่ได้มีต้นทุนที่สูงประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในห่วงโซ่อาหารเพื่อมุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)ส่งเสริมการพัฒนาการประกอบธุรกิจ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Circular economy)

3) ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้สูงด้วยอุตสาหกรรมอาหาร (High-income countries) สนับสนุนผู้ประกอบการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ในการยกระดับสินค้าพื้นฐาน (Basic food) ไปสู่อาหารอนาคต (Future food) มาตรการผลักดันการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง จากการที่ไทยมีอาหารเป็น Soft power พร้อมจัดทำแผนงานและงบประมาณสนับสนุนจัดตั้งหน่วยงานหลักและสนับสนุนงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย