KKP หั่นเป้า GDP ไทยปี 66 เหลือ 3.3% เศรษฐกิจโลกเสี่ยง ส่งออกวูบ

31 มี.ค. 2566 | 09:26 น.

KKP Research ปรับเป้า GDP ไทยปี 2566 เหลือ 3.3% จากเดิม 3.6% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอุปสงค์จากต่างประเทศ ที่จะกดดันการส่งออกหดตัวแรง จับตาภาวะทางการเงินที่เริ่มตึงตัว

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ระบุในรายงาน KKP Research ว่า "เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่สดใส ส่งออกไทยเสี่ยงหดตัวแรง" ชี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น

และเป็นช่วงที่ใกล้ถึงจุดวกกลับของเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมากทำให้การประเมินภาวะเศรษฐกิจทำได้ยากและมีความท้าทายมากขึ้น

โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอุปสงค์จากต่างประเทศจะส่งผลสำคัญต่อความสามารถในการส่งออกสินค้าของไทย ประกอบกับฐานที่สูงในปีก่อนทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวอย่างหนักของการส่งออกทั้งของไทยและภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา

ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแรงฉุดที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ทำให้ในภาพรวม KKP Research ปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจลงจาก 3.6% เหลือ 3.3% ซึ่งจะยังคงทำให้ "เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้าที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค"

พร้อมประเมินว่าปริมาณการส่งออกสินค้าในปีนี้จะติดลบ 3.1% จากที่เคยประเมินไว้ที่ 1.8% โดยคาดว่าสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมจะหดตัวในขณะที่ภาคเกษตรจะยังพอขยายตัวได้

KKP หั่นเป้า GDP ไทยปี 66 เหลือ 3.3% เศรษฐกิจโลกเสี่ยง ส่งออกวูบ

โดยในระยะที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้อสูงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในรอบหลายสิบปีทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ทั้งนี้จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและแรง ส่งผลให้คนเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงและรวมทั้งสร้างความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน

รวมทั้งเหตุการณ์ของ Silicon Valley Bank ได้เพิ่มความกังวลและสั่นคลอนภาคธนาคารทั้งในสหรัฐ ฯ และยุโรป ทำให้เกิดความกังวลว่าวิกฤติทางการเงินจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่

โดยในระยะสั้นการตอบสนองของภาครัฐที่รวดเร็วและการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมให้กับภาคธนาคารได้ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปได้

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะทางการเงินที่เริ่มตึงตัวขึ้นเร็วจะส่งผลต่อให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้นได้ ในขณะที่เงินเฟ้อที่ยังส่งสัญญาณค้างสูงจะทำให้นโยบายการเงินไม่สามารถกลับมาสนับสนุนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตามยังคงประเมินว่าการท่องเที่ยวจะเป็นแรงส่งหลักเกือบทั้งหมดของเศรษฐกิจไทยในปี 66 โดยหากพิจารณาแรงส่งต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จะพบว่าเฉพาะการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นที่มาของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปแล้วประมาณ 4%

ในขณะที่สัญญาณในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ของประเทศทั้งภาคการส่งออกและภาคการบริโภคในประเทศยังมีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนให้เห็น "การฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันระหว่างภาคเศรษฐกิจในประเทศ"

ทำให้ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 66 มีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น แต่ยังขยายตัวได้จากแรงส่งของการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว จากฐานที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก ประกอบกับการกลับมาของอุปสงค์ที่อั้นอยู่ของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป

ทั้งนี้จากการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าที่คาดทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในไทยได้มากขึ้นกว่าที่ประเมินไว้จากเดิม 25.1 ล้านคน เป็น 29.8 ล้านคนในปี 66 และคาดว่าในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 5 ล้านคน

แม้เศรษฐกิจโลกอย่างน้อยในปีนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดวิกฤติการเงินไปได้ แต่เงินเฟ้อที่ค้างอยู่ในระดับสูงยังเป็นความเสี่ยงสำคัญ โดยนโยบายการเงินที่ยังคงต้องตึงตัวต่อเนื่องจะทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในภาคการเงินที่เปราะบางยังสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะยังคงทำให้ "เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แบบเปราะบางและอ่อนไหวต่อความเสี่ยงภายนอก"

รวมทั้งการคาดการณ์ว่าวิกฤติในภาคการเงินจะเกิดขึ้นหรือไม่ และเกิดขึ้นที่จุดไหน เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ซึ่งจะทำให้ในระยะต่อไปความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินและการคลังจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงต่อเนื่อง

โดยต้องจับตาดูพัฒนาการของภาวะทางการเงิน ซึ่งจะสะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจจริง การตัดสินใจทั้งการลงทุนและการดำเนินนโยบายในช่วงที่เศรษฐกิจใกล้ถึงจุดเปลี่ยนจึงต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น และต้องติดตามและประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด