ธนาคารกลางอังกฤษ พร้อมเอื้อ "SVB" ขายกิจการให้ "HSBC"

13 มี.ค. 2566 | 08:12 น.

หลังธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ของสหรัฐฯ ประสบปัญหาทางการเงิน นำไปสู่คำสั่งให้ปิดกิจการเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด HSBC สนใจซื้อกิจการ SVB ในเครือสหราชอาณาจักรแล้ว

"เจเรมี ฮันท์" รัฐมนตรีคลังอังกฤษ กล่าวว่ารัฐบาลและธนาคารกลางอังกฤษ ได้อำนวยความสะดวกในการขายธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ในสหราชอาณาจักร ให้กับ HSBC ธนาคารยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วโลก ซึ่งถือเป็นมาตรการคุ้มครองเงินฝากลูกค้า โดยไม่จำเป็นใช้เงินจากผู้เสียภาษี

ธนาคารแห่งอังกฤษกล่าวว่า ระบบธนาคารในสหราชอาณาจักรที่มีโครงข่ายที่กว้างใหญ่ ยังคงปลอดภัย มั่นคง และยังดำเนินการได้ดี

ฮันท์ กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ ว่า 

“ข้อตกลงซื้อขายกิจการครั้งนี้ จะสร้างความมั่นใจได้ว่า เงินฝากของลูกค้า SVB ยังคงได้รับการคุ้มครอง และลูกค้ายังสามารถทำธุรกรรมธนาคารต่างๆได้ตามปกติ" 

"HSBC เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป และลูกค้าของธนาคาร Silicon Valley สหราชอาณาจักร สามารถมั่นใจได้เลยถึงความแข็งแกร่ง ปลอดภัย และมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยที่เรามอบให้"

"เราจะได้ข้อยุติการซื้อขายกิจการภายในระยะเวลาอันสั้นนี้”

ด้าน “โนเอล ควินน์” ประธานกรรมการบริหารของเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ (HSBC) แถลงว่า "การประกาศซื้อธนาคารเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมอย่างมาก ต่อธุรกิจของเราในอังกฤษ”

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. สถานนะเงินกู้-เงินฝากของ ธนาคาร Silicon Valley

-มีเงินกู้ประมาณ 5,500 ล้านปอนด์

-มีเงินฝากประมาณ 6,700 ล้านปอนด์

HSBC เผยว่า หุ้นสามัญของธนาคาร  อังกฤษ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านปอนด์

ทั้งนี้ การทำรายการซื้อกิจการเสร็จสิ้นทันที และจะได้รับทุนจากงบประมาณที่ HSBC มีอยู่ ซึ่งอังกฤษต่างจากสหรัฐ เพราะไม่ประกาศมาตรการสภาพคล่องวงกว้างสำหรับระบบธนาคาร

ข่าวความล้มเหลวในการดำเนินกิจการของกลุ่ม SVB Financial Group  ที่เจาะกลุ่มลูกค้าบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ถือเป็น "การล่มสลายของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐ" นับตั้งแต่วิกฤตการเงินในปี 2551

สิ่งนี้เปรียบเสมือนคำขู่ว่า "อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ" ต่อบริษัทเทคโนโลยีของอังกฤษ ซึ่งบรรดาผู้บริหารของบริษัทเทคโนโลยีในสหราชอาณาจักรกว่า 250 คน เคยออกมาเตือนแล้วว่า ความล้มเหลวของธนาคาร Silicon Valley คือ "ภัยคุกคามความอยู่รอด" ของภาคธุรกิจ

 

ที่มา : Reuters