อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ‘ผู้บริหารของผมต้องทำงานหนัก’

06 ส.ค. 2559 | 02:00 น.
หากจะกล่าวถึงนายแบงก์รุ่นใหม่ด้วยแล้ว ชื่อ "อภินันท์ เกลียวปฏินนท์" ถือเป็นหนึ่งดาวเด่นที่ well known โดยเฉพาะในสายวาณิชธนกิจ เพราะอยู่ในสายเลือดเขานานกว่า 25ปี อีกทั้งในการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อภินันท์ ก็ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการ ให้เข้ามากำกับดูแลทั้งส่วนงานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุน ในลักษณะรวมศูนย์ที่ขึ้นตรงกับเขาในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KKP

"ซีอีโอโฟกัส "ฉบับนี้ เราจึงโฟกัสถึงวิชันการบริหารของเขา

อภินันท์ เกริ่นนำว่า การรวมศูนย์ถ้าเป็นบริษัทลูกก่อนหน้านี้เราก็รวมศูนย์กันอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ควบรวมกับบมจ.ทุนภัทร ได้สักพัก(ควบรวมเมื่อไตรมาสต้น 2/2555) การรวมศูนย์ก็มีขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นการค่อยๆจัดทีละงาน โดยการจับงานมารวมกัน โดยไม่ได้สนว่าต้องอยู่องค์กรหรือนิติบุคคลไหน เชื่อว่าจะช่วยให้การประสานงาน การสื่อสาร เรื่องการดำเนินธุรกิจทิศทางมีความกระชับขึ้น อะไรที่ต้องเน้นก็จะได้รับการตัดสินใจได้เร็วทันต่อเหตุการณ์

" เราพยายามทำองค์กรให้ flat Organization แทนที่จะเป็นพีระมิดแบบเก่า ซึ่งบางทีอาจดูเหมือนเรื่องที่ต้องรายงานขึ้นตรงมาผมมีเยอะ แต่ความจริงแล้วเรื่องที่จะมาถึงผม หลายเรื่องก็ถูกทอนการตัดสินใจไปอยู่ที่ประธานสายของแต่ละกลุ่มธุรกิจอยู่แล้ว ถึงผมจริงๆจึงมีไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจ เช่นเป็นเรื่อง conflict คือตัดสินใจแล้วอาจกระทบกับอีก2,3 เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน ผมจึงต้องเป็นคนตัดสินใจ" เขากล่าวและว่า

วิธีการทำงานของผมส่วนใหญ่จะใช้การพูดคุยอย่างใกล้ชิด ไม่ได้เป็นทางการมาก เช่นผ่านทางไลน์เดี่ยว ,ไลน์ผู้บริหาร หรือกลุ่ม หรืออย่างทุกวันจันทร์ 7 โมงครึ่งเช้า ผู้บริหารจะมานั่งร่วมทานอาหารพูดคุยกัน อีกอย่างที่ผมพยายามบอกกับฝ่ายจัดการมาตลอด ผมเห็นในหลาย ๆองค์กร โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้บริหารแทบจะเอาเวลาหมดไปกับการประชุม อาชีพคือการประชุม

แต่สำหรับกลุ่มธุรกิจการเงิน KKP ผู้บริหารทุกคนยังต้องทำงานหนัก ทุกคนยังต้องเปื้อนงาน ยังต้องเรียนรู้สิ่งใหม่และยังต้องพัฒนา และไม่แปลกที่คนเป็นเอ็มดี หรือเป็นประธานสายธุรกิจ ยังต้องทำงานสัปดาห์ละ 60-70 ชม. ต้องออกไปเจอลูกค้า เจอลูกน้อง

อภินันท์ กล่าวถึงความคาดหวังว่า สิ่งที่เขาอยากเห็นจากกลุ่มธุรกิจการเงิน KKP คืออยากให้เป็นกลุ่มการเงินที่มีผลประกอบการที่ดี คือผมไม่ได้บอกว่าเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด แต่อยากให้เป็นอุตสาหกรรมการเงินที่เป็น high performance วัดจาก อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์( ROA ) , อัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น( ROE ) เป็น One of The best Performance Institute ไม่ว่าจะเป็นด้วยมิติอะไร เมื่อผลประกอบการดี การจ่ายพนักงานก็ต้องดีด้วย

อนึ่งผลประกอบการ6เดือนแรกปีนี้ของกลุ่ม KKP มีกำไรสุทธิรวม2,404 ล้านบาทเพิ่มขึ้น70.1 % กำไรเบ็ดเสร็จรวม 2,841ล้านบาทเพิ่มขึ้น 108.8% ซึ่งโดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก4.1% เป็น4.7% ในขณะที่ ROA และROE ไตรมาส 2/2559 อยู่ที่ 2.2% และ13.2% ตามลำดับ เทียบกับไตรมาส2/2558 ที่มีอัตราส่วน 1.2% และ 8.1%

อภินันท์ จบปริญญาตรีพาณิชยศาสาตร์และการบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโทบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต(การเงิน) จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ คอลเลจพาร์ก สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอายุ 47ปี เขาเติบโตและอยู่ในสายอินเวสต์เมนต์มาตลอด 25ปี เริ่มงานแรกที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์(บงล.) ทิสโก้ฯ ช่วงปี2534 ทำอยู่ประมาณ 6-7 ปี จากนั้นจึงมาร่วมงานกับกลุ่มภัทรทำอยู่ 16-17 ปีแล้ว

โดยในปี2552 เขาได้รับการโปรโมตเป็นซีอีโอหรือประธานเจ้าหน้าที่ บมจ.บริษัทหลักทรัพย์ภัทรตั้งแต่อายุ39ปี ก่อนที่ปี2553 จะเป็นซีอีโอ บมจ.ทุนภัทร นั่งบริหารอยู่นาน 8 ปี จนเมื่อปี 2555 ธนาคารเกียรตินาคินควบรวมกับทุนภัทร เขาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานธุรกิจตลาดทุนและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ช่วงปี 2555-2556 และเป็นประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์หลังจากที่บรรยง พงษ์พานิช เกษียณเมื่อต้นปี 2559 มาในต้นเดือนมิถุนายน เป็นซีอีโอกลุ่ม KKP

ผลงานโดดเด่น คือการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและดีลซื้อกิจการที่สำคัญ อาทิการระดมทุนของธนาคารกสิกรไทย (กลุ่มภัทร เป็นบริษัทในเครือธ.กสิกรไทย) , การขายหุ้นของธนาคารกรุงไทย กว่า 3 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2546, การควบรวมของธนาคารทหารไทยกับไทยทนุ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศหรือไอเอฟซีที ที่มีเขาอยู่ร่วมในทีมงาน รวมไปถึงกรณีที่ BTMU เข้าซื้อธนาคารกรุงศรีอยุธยา,การขายหุ้นไทยธนาคารให้ซีไอเอ็มบี ตลอดจนการที่ ING เข้าซื้อหุ้นในธนาคารทีเอ็มบี หรือการเพิ่มทุนให้ธนาคารทีเอ็มบีใน 2-3 รอบที่ผ่านมา เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,180 วันที่ 4 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559