'ณพ ณรงค์เดช' แถลงเปิดหลักฐานเพิ่ม! เตรียมสู้คดีโอนหุ้นวินด์ฯ ชั้นฎีกา

14 พ.ย. 2568 | 10:17 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2568 | 10:27 น.

นายณพ ณรงค์เดช พร้อมทีมทนายความ แถลงเปิดหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์และเตรียมต่อสู้ในชั้นฎีกา ยืนยันตนและคุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง พร้อมเปิดเผยข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น

KEY

POINTS

  • นายณพ ณรงค์เดช แถลงข่าวเตรียมยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้คดีโอนหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ ในชั้นศาลฎีกา โดยยืนยันความบริสุทธิ์ อ้างว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลต้องปลอมเอกสาร
  • ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติหลายประเด็น เช่น การรับแจ้งความนอกสถานที่โดยตำรวจต่างท้องที่ และผลตรวจพิสูจน์ลายเซ็นที่ออกมาอย่างรวดเร็วผิดปกติภายใน 24 ชั่วโมง
  • ชี้ประเด็นสำคัญในการต่อสู้คดีว่า ฝ่ายจำเลยไม่ได้รับสิทธิ์ในการถามค้านโจทก์ (นายเกษม ณรงค์เดช) ในศาลชั้นต้น ทำให้ข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน
  • เปิดเผยว่าเคยร้องเรียนอดีตผู้บริหารศาลต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เกี่ยวกับการสั่งสำนวนคดีและการอายัดเงินปันผลที่ไม่เป็นธรรม

นายณพ ณรงค์เดช ได้จัดแถลงข่าวเปิดเผยพยานหลักฐานสำคัญและข้อเท็จจริงเพิ่มเติม สืบเนื่องจากคดีเอกสารโอนหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 โดยพิพากษาจำคุกนายณพและคุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมลายเซ็นบิดาของนายณพ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองได้รับการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา

นายณพย้ำถึงความบริสุทธิ์ว่า "ในเมื่อเราเป็นเจ้าของอยู่แล้ว จะปลอมเอกสารไปเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นเจ้าของในสิ่งที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่ อันนี้ผมขอยืนยัน"

'ณพ ณรงค์เดช' แถลงเปิดหลักฐานเพิ่ม! เตรียมสู้คดีโอนหุ้นวินด์ฯ ชั้นฎีกา

โดยระบุว่า ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้นฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าครอบครัวไม่เคยลงทุน และเส้นทางการเงินที่ลงทุนครั้งแรกในปี 2558 คือตนเอง และในปี 2559 คือคุณหญิงกอแก้ว ซึ่งเส้นทางการเงินมีความชัดเจน นายณพยังอ้างถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งที่ระบุอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายโจทก์ (พี่ชายและน้องชาย) ไม่ปรากฏหลักฐานการชำระเงินค่าหุ้นที่ชัดแจ้ง

'ณพ ณรงค์เดช' แถลงเปิดหลักฐานเพิ่ม! เตรียมสู้คดีโอนหุ้นวินด์ฯ ชั้นฎีกา

"ผมเชื่อว่าระบบยุติธรรมเป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเราทุกคน แต่ถ้าเกิดระบบยุติธรรมสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ผมก็คิดว่าไม่อยากให้เกิดแบบนี้ขึ้นกับใครก็ตาม" นายณพกล่าว

เปิดหลักฐานตั้งข้อสงสัย "กระบวนการยุติธรรม" เบื้องต้น

นอกจากประเด็นเรื่องความเป็นเจ้าของหุ้นแล้ว นายณพและทีมทนายยังได้เปิดเผยข้อสังเกตเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการยุติธรรมในชั้นต้น โดยมีหลักฐานที่เตรียมยื่นต่อศาลฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  • การรับแจ้งความนอกสถานที่ นายณพตั้งข้อสังเกตถึงการรับแจ้งความคดีนี้ ซึ่งเกิดขึ้นที่ สน. ทองหล่อ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่คือ พันตำรวจเอก กำพล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้กำกับ สน. ห้วยขวาง เข้าไปรับแจ้งความถึงที่บ้านของคู่ความ นายณพตั้งคำถามว่า ปกติแล้วตำรวจมีบริการรับแจ้งความถึงที่บ้านหรือไม่ และทำไมเจ้าหน้าที่ต่างท้องที่จึงเข้ามารับผิดชอบคดี
  • ผลตรวจพิสูจน์ลายเซ็นรวดเร็วผิดปกติ นายณพกล่าวถึงการส่งเอกสารต้นฉบับไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน โดยใช้เวลาออกผลภายใน 24 ชั่วโมง นายณพตั้งคำถามต่อผู้เกี่ยวข้องว่า มีคดีใดบ้างที่สามารถออกผลได้รวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก และจนถึงปัจจุบันตนยังไม่ทราบว่ากรรมการอีกสองท่านที่ต้องเข้าร่วมในการพิสูจน์หลักฐาน 24 ชั่วโมงนั้นเป็นใคร
  • การไม่ได้รับสิทธิ์ถามค้าน ทีมทนายความระบุว่า ในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้น ดร. เกษม ณรงค์เดช (โจทก์) ไม่ได้มาเบิกความในศาลชั้นต้น และฝ่ายจำเลย (นายณพ) ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในการถามค้าน เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏอย่างครบถ้วนทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะนำเสนอต่อศาลฎีกา
  • ความคืบหน้าการร้องเรียนผู้บริหารศาล นายณพยังได้ย้อนกล่าวถึงการที่ตนได้ร้องเรียนอดีตอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาไปยัง ก.ต. ตั้งแต่ปี 2565 เนื่องจากการสั่งสำนวนคดีมรดกที่ให้พี่ชายเป็นผู้จัดการมรดก ทั้งที่หลักฐานนำไปสู่การลงโทษจำคุกในคดีอาญา และการสั่งอายัดเงินปันผลหุ้นวินด์ทั้ง 100% ทั้งที่ข้อพิพาทเกี่ยวกับหุ้นเพียง 49% โดยตนได้นำหลักฐานที่ผู้พิพากษาเข้าออกบ้านคู่ความมาเสนอต่อ ก.ต. แล้ว ซึ่งแม้จะมีข่าวว่า ก.ต. มีมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงเมื่อต้นปี 2568 แต่สถานะปัจจุบันของการสอบสวนนั้น ตนยังไม่ได้รับทราบผล

นอกจากนี้ นายณพยังได้กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของนายเกษม ณรงค์เดช ผู้เป็นบิดา และการที่ตนและบุตรชายของตนไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ ซึ่งเขามองว่าเป็นความพยายามใช้ประโยชน์จากเรื่องสุขภาพของบิดาเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

"อยากฝากไปถึงสื่อรายการต่างๆ ผมพร้อมที่จะไปออกเพื่อได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอให้เชิญคุณกฤษณ์ และคุณกรณ์มาด้วย ผมพร้อมที่จะพบเจอและพูดคุยกันต่อหน้าทุกเวทีว่าความจริงคืออะไร" นายณพกล่าวทิ้งท้าย