ธุรกิจอาหารไทยเสี่ยง! 65% ไม่รอด 3 ปี KCG จับมือ กทม. อุ้ม SME

04 พ.ย. 2568 | 22:34 น.

KCG จับมือ กทม. เดินหน้า “จุดไฟปรุงฝัน” เสริมทักษะธุรกิจ–บริหารครัวให้ SME อาหาร หลังร้านอาหารไทยกว่า 50% ไม่รอดปีแรก มุ่งช่วยรายเล็ก “รอดก่อน โตทีหลัง” ดัน Soft Power กรุงเทพฯ

KEY

POINTS

  • ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มไทยมีความเสี่ยงสูง โดยข้อมูลชี้ว่ากว่า 65% ปิดกิจการภายใน 3 ปีแรก
  • บริษัท KCG ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดโครงการ “จุดไฟปรุงฝัน” เพื่อช่วยเหลือและยกระดับผู้ประกอบการ SME ด้านอาหาร
  • โครงการมุ่งเน้นการให้ความรู้ทางธุรกิจที่จำเป็น เช่น การควบคุมต้นทุน การตลาด และการสร้างแบรนด์ เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จับมือ กรุงเทพมหานครฯ เปิดโครงการ “จุดไฟปรุงฝัน ปีที่ 2 รุ่น 2” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่สองของปี เพื่อ ‘แก้โจทย์จริง’ ของปัญหาเศรษฐกิจเมืองไทย ที่แม้ SME จะเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย และ กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก

แต่ในขณะเดียวกันสถานการณ์ร้านอาหารและเบเกอรี่จำนวนมากยังเปราะบาง มีอัตราการปิดตัวสูงโดยเฉพาะ 1-3 ปีแรก เราจึงร่วมกันออกแบบโครงการนี้ เพื่อทำให้ผู้ประกอบการตัวเล็ก “รอดและเติบโตได้จริง” ด้วยการยกระดับองค์ความรู้ครบวงจร ทั้งด้านธุรกิจ และ ด้านอาหาร เพื่อผลักดันให้ SME ที่เติบโตจากครัวเล็กๆ ก้าวสู่แบรนด์ที่มั่นคง และกลายเป็น Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกรุงเทพฯ และประเทศไทย ภายใต้ความเชื่อของ KCG ว่า “อาหารที่ดี=ชีวิตที่ดี”

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า “SME มีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก เปรียบได้กับกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย จากข้อมูลจำนวน SME พ.ศ. 2567

 

โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประเทศไทยมี SME ทั้งหมด 3,272,478 ราย คิดเป็น 99.5% ของกิจการทั้งหมด เฉพาะ SME ในกทม.มีสูงถึง 548,237 ราย คิดเป็น 16.8%
หรือ มีมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ จึงกล่าวได้ว่า SME คือ หัวใจเศรษฐกิจเมือง

แต่ในขณะเดียวกันตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็น SME มีการแข่งขันสูงมาก จากข้อมูลพบว่า ร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย มากกว่า 50% ปิดตัวภายในปีแรก และ กว่า 65% ไม่รอดภายในสามปี

ธุรกิจอาหารไทยเสี่ยง! 65% ไม่รอด 3 ปี KCG จับมือ กทม. อุ้ม SME

ถึงแม้ข้อมูลจาก Time Out’s World’s Best Cities for Food 2023 กรุงเทพฯ จะถูกจัดอันดับให้เป็น เมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ก็ตาม ดังนั้นเพื่อลดอัตราความล้มเหลว ในการเริ่มต้นธุรกิจ และ ไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เราต้องยกระดับกันไป ทั้งห่วงโซ่ธุรกิจอาหาร ผ่านทักษะทางธุรกิจ และทักษะการสร้างสรรค์รสชาติ

KCG และ กทม.ต้องการออกแบบโครงการให้ตอบโจทย์ “ปัญหาหน้างาน” ของ SME มากกว่าเน้นเวทีประกวดหรือกิจกรรมภาพลักษณ์

โฟกัสการเรียนรู้ “รอดก่อน โตทีหลัง”

โครงการเน้นสร้างความแข็งแรงของธุรกิจตั้งแต่พื้นฐาน เช่น

  • การวางระบบบัญชีและการเงินสำหรับธุรกิจเล็ก
  • เทคนิคควบคุมต้นทุนอาหารและวัตถุดิบ
  • การบริหารครัวให้ได้มาตรฐานการผลิตและความปลอดภัย
  • การวางแผนสร้างแบรนด์และทำตลาดออนไลน์ โดยใช้เครื่องมือ AI
  • การสร้างเมนูซิกเนเจอร์เพื่อเพิ่มความแตกต่างและมูลค่าเพิ่ม

ทีมวิทยากรประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและเชฟอาชีพ เช่น

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์และการสื่อสารจาก Peeti PR Agency
  • ผู้ก่อตั้ง AEIOU Solution ให้ความรู้ด้านการตลาด AI
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษี
  • ทีมเชฟ KCG Ambassador นำโดยเชฟวิลเมนท์ ลีออง และเชฟจาก KCG

กรอบเวลาโครงการ

  • สมัคร: 18 ก.ย. – 3 ต.ค. 2568
  • ประกาศรายชื่อ: 27 ต.ค. 2568
  • อบรม: 4 พ.ย. – 9 ธ.ค. 2568 รวม 7 ครั้ง

โครงการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเครือข่ายซัพพลายเออร์และผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของผู้ประกอบการรายเล็กที่ขาดเครือข่ายและต้นทุนความรู้

KCG มองว่า “ครัวรายย่อย” เป็นฐานสำคัญของเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งติดอันดับเมืองอาหารระดับโลก และอาหารไทยถือเป็น Soft Power ที่มีศักยภาพ แต่การเติบโตต้องพึ่งพาความสามารถในการบริหารธุรกิจ ไม่ใช่เพียงทักษะการทำอาหาร

“เป้าหมายคือให้ร้านอาหารขนาดเล็กอยู่รอดได้จริง ไม่ถูกระบบการแข่งขันทิ้งไว้ข้างหลัง และสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เติบโตเร็วแล้วหายไป”