จุฬาฯ เปิดเวทีระดับโลก สอนมนุษย์อยู่ร่วมกับ AI อย่างมีความหมาย

07 ต.ค. 2568 | 01:05 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2568 | 02:12 น.

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ Coursera for Campus จัดงาน “Purpose-Driven Learning” ย้ำเทคโนโลยีไม่แทนคน แต่ช่วยขยายตัวตน เรียนรู้ด้วยเป้าหมาย เพื่อชีวิตที่มีคุณค่าในยุค AI

KEY

POINTS

  • จุฬาฯ ร่วมกับ Coursera จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย” เพื่อแนะแนวทางการใช้ชีวิตร่วมกับ AI อย่างมีความหมาย
  • แก่นคิดสำคัญคือมนุษย์ต้องมี “เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน” เป็นรากฐานในยุค AI ซึ่งจะช่วยสร้างความยืดหยุ่นและความเป็นอยู่ที่ดี นอกเหนือจากการพัฒนาทักษะเพียงอย่างเดียว
  • ควรมอง AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยขยายศักยภาพและความสามารถของมนุษย์ (multiplier) ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ทั้งหมด
  • การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องเชื่อมโยง 4 องค์ประกอบเข้าด้วยกัน คือ อัตลักษณ์ (I am), เป้าหมาย (I aim), ทักษะ (I can), และการใช้เครื่องมือ AI (I leverage)

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ จุฬาฯ ร่วมกับ Coursera for Campus จัดงาน “President’s Distinguished Speakers” ครั้งที่ 5 โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเปิดงาน ก่อนเข้าสู่การบรรยายพิเศษหัวข้อ “Purpose-Driven Learning: The Human Foundation for Flourishing in an AI-Powered Economy” หรือ “การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและทักษะเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในเศรษฐกิจยุค AI”

โดย Dr. Victor Strecher ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมิชิแกน นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม นักเขียน และผู้สอนคอร์ส Coursera “Finding Purpose and Meaning in Life” ซึ่งนิตยสาร Inc. จัดอันดับเป็นคอร์สออนไลน์ยอดเยี่ยมอันดับ 4 ของโลกปี 2020 ดำเนินรายการโดย อ.ดร.ถิรพุทธิ์ ปิติฉัตร ผู้ช่วยอธิการบดีด้านพัฒนาองค์กร ท่ามกลางคณาจารย์ บุคลากร และนิสิตที่เข้าร่วมจำนวนมาก

แก่นคิด “เป้าหมาย” คือรากฐานมนุษย์ในยุค AI

Dr. Strecher กล่าวว่า การพัฒนา “ทักษะ” เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในโลกที่ AI เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์ยังต้องมี “เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน” ทำหน้าที่เสมือนเข็มทิศกำหนดทิศทาง ช่วยจัดระเบียบชีวิตไปสู่สิ่งที่มีความหมาย และสร้างทั้ง “ความยืดหยุ่น” (resilience) “ความเป็นอยู่ที่ดี” (well-being) และ “สมรรถนะสูง” (high performance) ในการเรียนและการทำงาน

  • เมื่อเผชิญความกลัว สมองมัก “สร้างกำแพง” ปิดกั้นการเรียนรู้ แต่ “เป้าหมาย” คือพลังที่พังกำแพงนั้นได้ ทำให้เราไม่ปล่อยให้ความกลัวควบคุมชีวิต “สมองมีไว้คิด มิใช่ให้ความกลัวบังคับ”

 ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร

  • ผู้ที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนมีแนวโน้มคิดทำร้ายตัวเองน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (ถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีเป้าหมาย) และ “เหตุผลที่จะลุกขึ้นทุกเช้า” คือ “ยารักษาจิตใจ” ชั้นดีที่ช่วยคงพลังและสมดุลทางอารมณ์

มอง AI ให้ถูก เครื่องทวีพลัง ไม่ใช่ผู้แทนมนุษย์

เรามักพูดถึง AI เสมือนเป็นสิ่งเดียว ทั้งที่แท้จริงมี “สติปัญญาหลายแบบ” (many intelligences) ซึ่งเราต้องเรียนรู้จะอยู่ร่วมและเลือกใช้ให้เหมาะกับตัวตน

  • หากเข้าใจอัตลักษณ์และเป้าหมายของตนเอง เราจะรู้ว่า “AI แบบไหน” เหมาะกับเรา
  • AI ไม่ได้แทนที่มนุษย์ทุกอย่าง แต่ “ขยายตัวตนที่ชัดเจน” ให้ทำงานได้ลึกขึ้น เร็วขึ้น และสร้างสรรค์ขึ้น เมื่อใช้บนฐานของเป้าหมาย

Dr. Victor Strecher

สุขภาพที่ดีต้องพาชีวิตไปมีความหมาย

Dr. Strecher กล่าวต่อว่า นโยบายและบริการสุขภาพไม่ควรหยุดแค่การป้องกันหรือรักษาโรค แต่ควร “ส่งเสริมให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีทิศทาง” เพราะความรู้สึกว่าชีวิตมีเป้าหมายสัมพันธ์กับสุขภาวะจิตที่ดีและความสามารถในการรับมือความเปลี่ยนแปลง

งานวิจัยชี้ว่า “การสะท้อนคุณค่า และภาพตนเองในอนาคต” ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองในเครือข่ายที่เกี่ยวกับ “อัตลักษณ์ การกำกับอารมณ์ และความยืดหยุ่นทางจิตใจ” จึงเป็นทักษะภายใน (inner skill) ที่ฝึกได้และควรบูรณาการในกระบวนการเรียนรู้

จุฬาฯ เปิดเวทีระดับโลก สอนมนุษย์อยู่ร่วมกับ AI อย่างมีความหมาย

เชื่อม “ตัวตน–เป้าหมาย–ทักษะ–AI” ให้เป็นระบบเดียว

  • หัวใจของการเรียนรู้แบบ purpose-driven คือการบูรณาการ 4 องค์ประกอบเข้าด้วยกัน
  • รู้จัก “อัตลักษณ์และคุณค่า” ของตน (I am)
  • ตั้ง “เป้าหมายที่มีความหมาย” (I aim)
  • พัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น (I can)
  • เลือกใช้ “เครื่องมือ AI” ที่เหมาะกับงานและตัวตน (I leverage)

เมื่อจัดวางอย่างเหมาะสม AI จะทำหน้าที่เป็น “พลังทวีคูณ” (multiplier) สนับสนุนแบบจำลองอัตลักษณ์ (identity prototype) ของแต่ละคน ให้ดึงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ การผสมผสาน “ทักษะ” กับ “เป้าหมายชีวิต” จึงสร้างผู้เรียนและผู้นำที่ “มีความหวังมากขึ้น” เดินหน้าด้วย “ทิศทางที่ชัดเจน” และ “ความมั่นใจในศักยภาพ” ของตนเอง ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม