KEY
POINTS
ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับราคาหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA โดยความเคลื่อนไหววานนี้ 6 ต.ค. 68 ที่ราคาหุ้นพีคสุดระดับ 185 บาท ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 179.00 บาท ซึ่งเป็นราคาปิดตลาด เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือราว 0.56% จากราคาปิดตลาดก่อนหน้า มูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 3,550 ล้านบาท
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดเดือน ต.ค. จนถึงปัจจุบัน หรือกว่า 4 วันทำการแรกของเดือน ราคาหุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 19 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 11.87% จากราคาเปิดตลาดวันที่ 1 ต.ค. 68 ที่ระดับ 160 บาท เป็น 179 บาท
โดยในวันแรกของเดือนนี้มูลค่าซื้อขายสูงสุดของหุ้น DELTA ที่ระดับ 5,577 ล้านบาท ตามมาด้วย 3,083 ล้านบาท และ 3,350 ล้านบาท ตามลำดับ และหากเทียบกับราคาเปิดตลาดวันแรกของปีนี้ (2 ม.ค. 68) ที่ระดับ 152.50 บาท พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 26.5 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 17.37%
จากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ของ DELTA ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 2,220,339.27 ล้านบาท จากต้นปีที่ระดับ 1,733,860.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 486,478.83 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลง 28.05%
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองต่อราคาหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมาว่า มองว่าธีมการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับ AI ยังคงเป็นที่น่าสนใจ จะเห็นได้ว่าหุ้นเทคโนโลยีอย่าง Samsung ในตลาดหุ้นเกาหลี หรือแม้กระทั่งหุ้นเทคฯ อื่นๆ ในตลาดหุ้นฮ่องกงและไต้หวัน ต่างการทะยานขึ้นมาเช่นเดียวกัน
จากการที่ DELTA เป็นหนึ่งใน power supply chip ทำให้ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วย แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ได้มีเพียงหุ้น DELTA แต่ตัวอื่นๆ อย่าง CCET, KCE และ HANA ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ มองว่าอาจเห็นแรงเก็งกำไรจากเงินบากอ่อนค่าร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่ออกมาไม่ดีนัก สะท้อนถึงโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง
ที่อาจสะท้อนว่าอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะลดลงด้วยเช่นเดียวกัน เป็นผลให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติหันหน้าเข้ามาสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งร่วมไปถึงไทยด้วย
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า คาด DELTA จะมีกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.6 พันล้านบาท จากความต้องการที่แข็งแกร่งในกลุ่ม data center และ capacity เพิ่มเติมที่โรงงาน Wellgrow
ทั้งนี้ การผลิตผลิตภัณฑ์ระบายความร้อนด้วยของเหลวจำนวนมากถูกเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2569 จากที่คาดการณ์ไว้เดิมในไตรมส 3/2568 เนื่องจากระยะเวลาการตรวจสอบบัญชีลูกค้าที่ยาวนานขึ้น แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ/บาทจะแข็งค่าขึ้น
แต่ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งช่วยสนับสนุนแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น เราได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2568 - 2570 ขึ้น 5-25% เป็น 2.3-3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 24% ในช่วงปี 2569 - 2570
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำขาย โดยคงมูลค่าที่เหมาะสมเดิมที่ 115.50 บาท
เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างสูงที่ 76.4-63.6 เท่าของอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ล่วงหน้า เทียบกับ DELTA Taiwan ที่ 44.8-32.0 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่ต้องให้การจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่ชะลอตัว และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์