สมาคมภัตตาคารไทย ชงรัฐบาลใช้งบ 7.5 หมื่นล้าน ขยาย 'คนละครึ่ง' ครอบคลุมนิติบุคคล-ทุกกลุ่ม

13 ก.ย. 2568 | 02:36 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2568 | 03:05 น.

สมาคมภัตตาคารไทย ชงรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ใช้งบ 7.5 หมื่นล้านบาท อัดฉีดโครงการ 'คนละครึ่ง' ครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป ยันสูงวัย และกลุ่มเปราะปราง นิติบุคคล มั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจ ไตรมาส 4 คึกคัก

KEY

POINTS

  • สมาคมภัตตาคารไทยเสนอรัฐบาลพิจารณาเพิ่มงบประมาณโครงการคนละครึ่งเป็น 7.5 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือผู้ประกอบการ
  • เรียกร้องให้ขยายสิทธิ์โครงการครอบคลุมร้านอาหารที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ในครั้งก่อนหน้า
  • เสนอให้ขยายสิทธิ์ให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าร่วมได้ ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป รวมถึงกลุ่มผู้สูงวัยและกลุ่มเปราะบาง
  • มีข้อเสนอให้เพิ่มวงเงินสนับสนุนต่อวันจาก 150 บาทเป็น 200 บาท และเพิ่มวงเงินรวมต่อเดือนเป็น 3,000 บาท

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจต่าง ๆ แต่สมาคมฯ เสนอให้พิจารณา เพิ่มงบเป็น 75,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อให้การสนับสนุนครอบคลุมและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กอยู่รอดได้ในระยะยาว

'โครงการคนละครึ่ง' รอบใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่สมาคมฯ ได้เสนอให้รัฐบาลขยายสิทธิ์ครอบคลุมนิติบุคคลที่เป็นร้านอาหาร รวมถึงประชาชนทั่วไปตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป กลุ่มสูงวัย และกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้โครงการครอบคลุมผู้เสียภาษีทุกกลุ่ม

ในปี 2564 โครงการคนละครึ่งออกแบบเพื่อช่วยร้านค้ารายเล็ก เช่น ร้านตลาดนัด ห้องแถว หรือสตรีทฟู้ด ที่สามารถสมัครผ่านแอปถุงเงินได้ แต่ นิติบุคคลถูกตัดสิทธิ์ และอยู่ในโครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' ซึ่งสามารถนำไปใช้หักภาษีได้ ทำให้ร้านอาหารบางแห่งเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์กระตุ้นยอดขาย

 

สมาคมฯ เห็นว่าไม่เป็นธรรมเพราะนิติบุคคลต้องรับภาระ ค่าเช่า ค่าแรง ประกันสังคม และภาษีต่าง ๆ หากถูกกันออกไปก็ไม่สอดคล้องกับภาระที่แบกรับ ทั้งนี้ข้อเรียกร้องรอบใหม่นี้ ยังเสนอให้คนไทยทุกคนที่สมัครเข้าร่วมโครงการสามารถใช้สิทธิ์ได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

5. ข้อเรียกร้องจากสมาคมภัตตาคารไทย

1. ไม่เก็บภาษีย้อนหลัง

ในการดำเนินการโครงการคนละครึ่งในช่วงแรกนั้นรัฐบาลได้กำหนดให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องมีการลงทะเบียนและตรวจสอบภาษีย้อนหลัง แต่ข้อเรียกร้องของสมาคมคือให้รัฐบาลไม่เก็บภาษีย้อนหลังจากร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะร้านที่มีการจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้ภาระเพิ่มเติมตกกับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ

นางฐนิวรรณ กุลมงคล

2. สิทธิพิเศษให้กับผู้ที่เสียภาษี

ความสำคัญของการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่เสียภาษีทั้งในฐานะผู้ขาย (ร้านอาหาร) และผู้ใช้ (ประชาชน) โดยรัฐบาลควรให้การสนับสนุนแก่ทั้งสองกลุ่มนี้เพื่อให้โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับฝั่งผู้ขายที่เป็นร้านอาหารนั้นก็จะได้รับสิทธิ์ในการใช้โครงการ ส่วนฝั่งผู้ใช้ที่ยื่นภาษี (ตามที่รัฐบาลเสนอให้) จะได้รับการลดหย่อนสูงถึง 60%

นอกจากนี้มียังยืนยันว่าแนวทางนี้ได้รับการอนุมัติจากการประชุมภายในรัฐบาลแล้ว โดยเน้นการช่วยเหลือผู้ที่มีการเสียภาษีให้มีสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น

3. ขอเพิ่มวงเงินจาก 150 บาทเป็น 200 บาทต่อวัน

ข้อเรียกร้องที่สามเป็นการเสนอให้รัฐบาลเพิ่มวงเงินการสนับสนุนจาก 150 บาท เป็น 200 บาท ต่อวัน โดยในรอบที่แล้ววงเงิน 150 บาทต่อวันถือเป็นการสนับสนุนที่ไม่เพียงพอสำหรับการช่วยเหลือประชาชนและร้านอาหารในสถานการณ์ปัจจุบัน การเพิ่มวงเงินเป็น 200 บาทต่อวัน อีกทั้งขอเพิ่มวงเงินรวมต่อเดือนเป็น 3,000 บาท สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการในเดือนตุลาคมนี้

ร้านอาหารและผู้ประกอบการในภาคธุรกิจนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะร้านที่มีต้นทุนสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างแรงงาน และการเสียภาษีต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ดังนั้นการเพิ่มวงเงินเป็น 3,000 บาทต่อเดือนจะช่วยให้ผู้ใช้โครงการมีเงินสนับสนุนในการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้นในช่วงวิกฤตนี้

นอกจากนี้ เดือนตุลาคม เป็นเดือนที่สำคัญในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจาก ร้านอาหาร หลายแห่งต้องเผชิญกับภาระทางการเงินที่สะสมมาตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะในช่วง เดือนเมษายน-กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งร้านอาหารส่วนใหญ่พบว่าการดำเนินการในช่วงนี้ไม่สามารถทำกำไรได้มาก จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบของการเพิ่มวงเงินในโครงการคนละครึ่ง เพื่อให้ร้านอาหารมีเงินหมุนเวียนในการทำธุรกิจต่อไป

โดย สถานะของข้อเรียกร้องนี้ ถึงแม้ข้อเรียกร้องในส่วนของวงเงินยังไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล แต่ข้อเสนอที่เกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินต่อวันยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล

4. อนุญาตให้นิติบุคคลเข้าร่วมโครงการได้

หนึ่งในข้อเรียกร้องที่สำคัญจากสมาคมภัตตาคารไทยคือการให้ นิติบุคคล ที่เป็นร้านอาหารเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ เนื่องจากในครั้งก่อนนั้นนิติบุคคลถูกตัดสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่งและถูกแยกไปอยู่ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับร้านอาหารที่ต้องการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในร้าน ในการนี้ สมาคมได้เสนอให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้นิติบุคคลที่เป็นร้านอาหารเข้าร่วมโครงการเพื่อให้โครงการนี้สามารถครอบคลุมร้านอาหารทุกรูปแบบที่มีการจดทะเบียนและเสียภาษี

5. ขยายสิทธิ์ให้กลุ่มเปราะบาง

กลุ่ม เปราะบาง ในที่นี้หมายถึงผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มผู้ที่มีรายไดน้อย ซึ่งในครั้งก่อนกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้โครงการคนละครึ่ง จึงเสนอให้กลุ่มนี้สามารถใช้โครงการได้เหมือนกัน เนื่องจากเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่พวกเขาได้รับนั้นมีจำนวนไม่เพียงพอในการดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

การพัฒนาอุตสาหกรรมร้านอาหารและระบบภาษี

การเปิดโอกาสให้คนอายุ 16 ปีสามารถซื้อสินค้าและตัดสินใจเรื่องการเสียภาษีได้ จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้าร่วมระบบภาษีได้มากขึ้น ทั้งนี้การมีสิทธิ์ในการเสียภาษีตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของจำนวนผู้เสียภาษี โดยเฉพาะในภาคธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งบางครั้งไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ

"เมื่อภาครัฐสามารถสร้างการเชื่อมโยงระหว่างการเสียภาษีกับผลประโยชน์ที่ผู้เสียภาษีจะได้รับ เช่น การได้รับสิทธิพิเศษหรือการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ จะช่วยกระตุ้นให้คนต้องการเสียภาษีมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม"

การใช้เทคโนโลยีในร้านอาหารขนาดเล็ก

การใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาร้านอาหารขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสมาคมเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารในเรื่องการฝึกอบรมและการใช้เทคโนโลยีในการจัดการธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ร้านอาหารสามารถลดการสูญเสียและทำให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการจะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาและปรับตัวได้รวดเร็ว

"การใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาอุตสาหกรรมร้านอาหารสามารถช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดภาระให้กับผู้ประกอบการ"

การส่งเสริมร้านอาหารที่มีคุณภาพและยั่งยืน

การส่งเสริมร้านอาหารที่มีคุณภาพและปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ โดยสมาคมเสนอให้มีมาตรการภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนร้านที่มีการรักษามาตรฐานและมีการปฏิบัติตามนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมและการรักษาความยั่งยืน

การส่งเสริมร้านที่มีคุณภาพและการรักษาความยั่งยืนจะช่วยให้ร้านอาหารสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ โดยการให้รางวัลหรือสิทธิพิเศษจากภาครัฐสามารถเป็นแรงจูงใจให้ร้านอาหารพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น