สมาคมผู้ส่งออกอาหาร หวั่นกระทบหนัก “เงินบาทแข็งค่า” พุ่งในรอบ 4 ปี

11 ก.ย. 2568 | 12:32 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 12:36 น.

สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ชี้ค่าเงินบาทแข็งค่าพุ่ง 7% แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี แนะ 4 แนวทางเชิงนโยบาย เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

KEY

POINTS

  • เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ทำให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปกังวลว่าจะกระทบความสามารถในการแข่งขัน
  • การแข็งค่าของเงินบาททำให้ต้นทุนสินค้าส่งออกสูงขึ้น ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
  • สมาคมฯ ได้ยื่นข้อเสนอ 4 ด้านถึงภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น การรักษาสมดุลค่าเงิน การควบคุมเงินทุนไหลเข้า และการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก

นายองอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาท ที่แข็งค่าต่อเนื่องพุ่งขึ้นสูงถึง 7% แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปออกมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวพอสมควร เพราะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ในการส่งออกอาหารสำเร็จรูปของไทย เนื่องจากสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคยังคงได้เปรียบจากการมีค่าเงินที่อ่อนกว่า

โดยการผันผวนของค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา สร้างความท้าทายอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านการเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน แม้ว่าสินค้าอาหารไทยยังคงเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล แต่แรงกดดันจากค่าเงินที่แข็งค่าทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

“สถานการณ์ค่าเงินในขณะนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและใช้กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสม เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของคู่ค้าและเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส” 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย 4 ด้าน จากสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป มีดังนี้

1. นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายที่เหมาะสม เพื่อรักษาสมดุลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการส่งออกควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม

2. การควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย

ด้วยการพิจารณามาตรการป้องกันการเก็งกำไรจากเงินทุนระยะสั้น ที่ไหลเข้ามามากเกินควร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความผันผวนผิดปกติและกระทบเสถียรภาพในตลาดเงิน

3. มาตรการสนับสนุนผู้ส่งออก

ส่งเสริมการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า (Forward Contract) รวมถึงพิจารณาจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ และจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูป

4. ความร่วมมือระดับภูมิภาค

ผลักดันความร่วมมือในกรอบอาเซียน+3 เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพด้านอัตราแลกเปลี่ยน ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก และสร้างความมั่นใจในระยะยาว

นายองอาจ กล่าวว่า คือช่วงเวลาที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อรักษาสมดุลของค่าเงินบาทและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้สามารถก้าวข้ามความท้าทาย ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลกอย่างยั่งยืน