KEY
POINTS
สมาคมภัตตาคารไทยเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 “อนุทิน ชาญวีรกูล” สนับสนุนโครงการคนละครึ่ง หรือ Co-payment" เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ ทั้งเสนอททท.สนับสนุนโครงการประกวด ”ข้าวแกง” ยกระดับอาหารไทยสู่เวทีโลก
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า จากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย สมาคมภัตตาคารไทยได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการร้านอาหาร
รวมถึงประชาชนผู้บริโภคทั่วประเทศ พบว่า ตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ 2 ในปี2568 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจร้านอาหารกว่า 7 แสนรายทั่วประเทศ ทั้งรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่
ทั้งนี้โดยมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ดังนี้ สถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจร้านอาหารยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยลดลง 25-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ข้อมูลเชิงสถิติจากแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์หลักแสดงการหดตัวอย่างชัดเจน เสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องเผชิญการขาดทุนจนถึงขั้นปิดกิจการจำนวนมาก ร้านอาหารปิดตัวลงจำนวนมาก ผู้ประกอบการที่เหลือรออยู่ต้องลดจำนวนพนักงาน และลดชั่วโมงการดำเนินการ
นางฐนิวรรณกล่าวว่า เสียงจากภาคประชาชนและผู้ประกอบการต่างสะท้อนตรงกันว่า "Co payment" หรือโครงการคนละครึ่ง เป็นมาตรการที่ตรงจุดที่สุด เพราะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนโดยตรง ลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ สร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ธุรกิจ ร้านอาหารรายเล็ก รายกลาง กระตุ้นซัพพลายเชนอาหารท้องถิ่น ในทุกจังหวัด สร้างงาน สร้างรายได้ ให้แก่แรงงานในห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร
ขณะที่ผลกระทบในวงกว้าง โครงการ Co payment ไม่เพียงช่วยธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบอาหาร ผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกในตลาดสด ผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ แรงงานในภาคบริการและการผลิต
ในโอกาสที่นายอนุทินจะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนหวังว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชน สมาคมฯ ใคร่ขอเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้ เร่งดำเนินโครงการ Co payment ในรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน กำหนดวงเงินที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญ ให้ความสำคัญกับร้านอาหารรายเล็ก และธุรกิจท้องถิ่น พัฒนาระบบดิจิทัล เพื่อให้การดำเนินงานสะดวกและโปร่งใส สร้างมาตรการสนับสนุนระยะยาว เพื่อความยั่งยืนของภาคธุรกิจ
สมาคมภัตตาคารไทย ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหารกว่า 7 แสนรายทั่วประเทศ พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในทุกมิติ เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์และสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ “โครงการ Co payment จะถือเป็นของขวัญและความหวังแก่ประชาชนในฐานะผู้บริโภค และเป็นแรงประคับประคอง ผู้ประกอบการร้านอาหารให้สามารถยืนหยัดและเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงเศรษฐกิจที่ท้าทาย” นางฐนิวรณ์รณกล่าว
ขณะเดียวกันสมาคมภัตตาคารไทยภายใต้การขอรับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแผนจัดโครงการประกวดอาหาร "สุดยอดแชมป์ ข้าวแกงไทยสู่สากล" Thai Curry & Rice Global Challenge เพื่อสรรหาร้านข้าวแกงอันเป็นเลิศด้านรสชาติ ทั้งยกระดับร้านข้าวแกงในกรุงเทพฯ สู่ระดับสากล ทั้งมุ่งส่งเสริมปลุกจิตสำนึกการอนุรักษ์อาหารไทยประเภทข้าวแกง
ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ ช่วยยกระดับอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ในด้านรสชาติและความละเมียดละไมในการปรุงให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอีกครั้ง ส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวเพื่อเข้ามาลิ้มรสข้าวแกงไทย
ข้าวแกงอยู่คู่กับคนไทยมานาน มีประวัติศาสตร์เรื่องราวที่สะท้อนถึงบริบทของสังคมไทยมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยแทบทุกภาคต่างคุ้นเคยกับการกินข้าวแกงกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาคกลางกับภาคใต้ซึ่งมีความโดดเด่นชัดเจนในเรื่องข้าวแกง และสำหรับนักเดินทางที่มาเยือนเมืองไทยก็อยากให้ได้ลองสัมผัสกับประสบการณ์ข้าวแกงสักครั้งในชีวิต